lozocatlozocat
"It's my life "
lozocatlozocat

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อารมณ์นี้.....ยย..ติ๊ดสุดสุด

ใบไม้ร่วง ฝนตก นกบินเป็นกลุ่ม หลายสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สำหรับผมแล้ว ฮ้า... มันไม่ช่ายยย.... มันเป็นมากกว่านั้น มันมีผลกระทบทางอารมณ์กับผม ผมไม่รู้ว่ามีใครเป็นแบบผมมั่ง อารมณ์อ่อนไหว พริ้วไปกับสายลม แสงแดด กวี บทกลอน ลำนำ สายธารและขุนเขา เพื่อนบางคนบอกว่าผมสร้างภาพ อยากเป็นศิลปิน ก็ว่ากันไป
ผมชอบที่จะคิดอยู่กับตัวเอง คิดอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กๆ เขียนกลอน วาดรูป เล่นดนตรี จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็กๆเรียนชั้นประถม ชอบวิชาวาดเขียนมากกกกก... ผมจะมีสมุดวาดเขียน เล่มใหญ่ๆที่ขอ(คุณ)พ่อซื้อให้ สมุดเล่มนี้ก็จะเอาไว้วาดรูปทุกอย่างที่อยากจะวาด เหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง ครั้นพอมีเพื่อนหรือญาติๆมาเที่ยวที่บ้าน ก็จะถือโอกาสนำเสนอผลงานศิลป์(ซึ่งตอนนั้นคิดว่า)สุดเจ๋งให้ใครๆได้ชื่นชมอย่างน่าภูมิใจ จนกระทั่งจบชั้นประถม ๖ ขึ้นชั้น มัธยมปีที่ ๑ ก็ได้มาเจอกับเพื่อนผู้รักงานศิลป์เช่นเดียวกัน นั่นก็จะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้ ก็คือไอ้เบียร์ หลังจากที่ได้เห็นผลงานของเพื่อนคนนี้ ก็เกิดความคิดขึ้นมาเลยทีเดียวว่า " โอ้เพื่อน...แกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้..." เพราะนอกจากไอ้เบียร์จะวาดสวย วาดดีแล้วนั้น วันๆผมก็จะเห็นมัน วาด วาด วาด แล้วก็วาด แม้กระทั่งช่วงเรียน อาจารย์เผลอ ก็จะแอบวาดลงในหนังสือเรียนคู่มือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิต อังกฤษ ภาษาไทย ก็จะมีตัวการ์ตูน สัตว์ประหลาด อุลตร้าแมน เคนชิโร่ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าไม่มีหนังสือเล่มไหนหรือหน้าไหนของไอ้เบียร์ ที่จะไม่มีตัวการ์ตูนเหล่านี้ จึงทำให้พัฒนาการด้านการวาดของเพื่อนผมเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนผมตามไม่ทันและในที่สุดผมจึงได้ทำการแขวน ดินสอ ปากกา สมุดวาดเขียนลงอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงช่วง ม. ๓ การวาดของไอ้เบียร์ก็บรรลุขั้นเทพ ผมก็ได้ผันตัวไปเล่นดนตรี เพราะเห็นครูฝึกสอนเล่นอีเล็คโทน จึงสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเสนอเงื่อนไขกับ(คุณ)พ่อว่าถ้าสอบคราวนี้ เกรด ๓ ขึ้นไป จะขอแลกกับอีเล็คโทน ซึ่งผมก็ทำสำเร็จ ได้เครื่องดนตรีตัวแรกมาไว้ในครอบครอง แล้วผมก็เล่นมันทุกวัน วันละนานๆ จนถึงขั้นรวมวงเล่นกันเพื่อนเมื่อขึ้นชั้น ม. ๔-๕-๖ เล่นไปเล่นมา (คุณ)แม่ก็เริ่มไม่ปลื้ม เพราะว่าค่าไฟเริ่มจะบาน(ปลาย) จึงได้ยินเสียงบ่นมาเสมอๆ ช่วงนั้นพอดีสายตาก็เหลือบไปเห็น กีต้าร์โปร่งตัวหนึ่ง(ของพี่สาวผมเอง แต่พี่เค้าเลิกเล่นเพราะเจ็บนิ้ว)พิงข้างฝาบ้าน ใจนึงอยากจะช่วยประหยัดค่าไฟผมจึงหันมาเล่นกีต้าร์โปร่ง เล่นได้สามคอร์ดก็เริ่มมีกำลังใจฝึกจนได้เกือบทุกคอร์ด เพื่อนๆก็ชอบกันเพราะผมจัดให้ทุกเพลงที่ขอ ถ้าคุณร้องได้ ผมก็เล่นได้อะไรประมาณนั้น จะขึ้นเขาลงห้วยก็จะเห็นกีต้าร์ติดตัวไปกับผมเสมอ เพื่อนคนไหนไปไหนเค้าก็มักจะชวนผมไปด้วยทุกครั้งพร้อมทั้งกำชับว่า "เอากีต้าร์ไปด้วยนะ...." อืมมม.... สงสัยเห็นผมเป็นคาราโอเกะเคลื่อนที่กระมังเนียะ บางทีเล่นเกือบสองชั่งโมง จนนิ้วโป่ง แทบจะไม่ได้ร้องเลย เพราะนักร้องมีอยู่แล้วคิวยาวเหยียด ผมมีหน้าที่เล่นก็เล่นไป ทุกคนก็มีความสุข ผมก็มีความสุข จากการเล่นกีต้าร์นี้ก็ทำให้ผมได้พบเพื่อนคนนึงซึ่งปัจจุบันก็ยังเกื้อกูลกันเสมอมา เขาเป็นมือกีต้าร์อัจฉริยะในสายตาของผม มีหลายอย่างที่เขาทำให้ผมทึ่งแล้วผมจะเล่าให้ฟังวันหน้า คุณพระคุ้มครองครับ....

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คนสามัญประจำบ้าน

จะเรียกว่า "ตกงาน" หรือ "ทำงานอิสระ" ก็แล้วแต่จะกล่าวกันความหมายไม่ได้แตกต่างหรือดูหรูหรากว่ากันสักเท่าไร แม้ว่างานการในปัจจุบันนี้ไม่ได้หายากอย่างเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีคนตกงานอยู่เสมอๆให้ได้เห็นประดับสังคมไทยถ้าไม่กล่าวถึงการเลือกทำงาน(ชั้นสูง-กลาง-ต่ำ)แล้ว เรื่องของอายุ สังขาร และความชอบ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้องไม่มีงานทำ เรื่องของความชอบอันนี้ก็ฝืนกันไม่ได้ เป็นเรื่องของจิตใจเรื่องของความถนัด แต่คนเราก็สามารถลองผิดลองถูกได้ งานนี้ตอนแรกคิดว่าถนัด ทำไปทำมาอาจจะไม่เวิร์ค ก็เปลี่ยนกันได้จนกว่าจะพอใจ บางคนเปลี่ยนงานตลอดชั่วชีวิต แต่ก็มีข้อเสียคือ เหมือนเราจะต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนงาน แต่ถ้าพบแล้วว่างานนี้ลงตัวก็ควรที่จะยึดเป็นอาชีพไว้ เพราะเวลาอาจจะเหลือน้อยลงๆ อายุก็จะมากขึ้นๆ พูดถึงอายุก็จะเกี่ยวเนื่องกัน สังขาร สองอย่างนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการคัดสรรแรงงานหรือพนักงานเพื่อเข้าทำงานในโรงงาน หรือบริษัท อย่างบางบริษัทก็จะเปิดรับพนักงานอายุ ๒๕ปีขึ้นไป คนอายุ ๒๔ปี ก็หมดสิทธิ์ ต้องรอสมัครปีหน้า หรือไม่ก็ต้องมองงานอื่นที่รับพนักงานอายุน้อยกว่านี้ อย่างบางโรงงานก็ประกาศรับ พนักงานอายุไม่เกิน ๓๕ปี คนอายุ ๓๖ปี ก็หมดสิทธิ์ ก็ต้องไปหางานอื่นที่รับอายุมากกว่านี้ ซึ่งก็หายากเต็มที นอกเสียจากว่าจะไปประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย จะเรียกให้หรูก็คือ "ธุรกิจส่วนตัว" ลงมือทำเอง จะมีหุ้นส่วนหรือไม่มี กลัวโดนโกงก็ต้องทำคนเดียว รับผิดชอบคนเดียว เวลาเจ๊งก็จะได้ไม่ต้องไปโทษใคร ถ้าทำ(ธุรกิจ)คนเดียว บริหารคนเดียว อันนี้เรื่องของสังขารก็จะมาเกี่ยวข้อง เพราะทำคนเดียวก็เหนื่อยคนเดียว เครียดคนเดียวเพราะคิดคนเดียว ฉะนั้นต้องระวังรักษา ดูแลสุขภาพกันตัวเองให้ดี การกิน การนอน การพักผ่อน (ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนอนอย่างเดียว ยังรวมถึงการผ่อนคลายความเครียดทั้งหลายด้วย )ต้องให้สมดุลย์กัน ไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง กินมาก นอนน้อย นอนมาก กินน้อย ก็ต้องให้สมดุลย์พอดีไม่ขาดไม่เกิน และสำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ละช่วงที่ทำงาน
เนื่องจากความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายนั้นหากมีความเครียดสะสมไว้มากก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยใข้เจ็บได้ เช่น โรคเครียดลงกระเพาะ โรคนอนไม่หลับ โรคไมเกรน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ส่วนทางด้านจิตใจนั้นความเครียดนอกจากจะทำสุขภาพจิตเสียแล้ว ยังทำให้สมองสั่งงานผิดพลาด หลงๆลืมๆ ฉะนั้นเราก็ควรที่จะหาทางระบายความเครียดกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่นผม ส่วนใหญ่จะเครียดเรื่องแบบว่า ไม่ได้ดั่งใจ อยากได้ อยากมี อยากเป็น แล้วไม่ได้สมใจอยากก็จะเครียด ในเรื่องของการทำงาน ก็จะอยากให้เสร็จเร็วๆ ไม่ผิดพลาด และดีที่สุด ก็จะก้มหน้าก้มตาทำ จนลืมกินข้าวบ้าง ลืมทักทายคนบ้าง ลืมออกกำลังกายบ้าง กลับบ้านก็เอาไปคิดต่อที่บ้าน นอนไม่หลับ หลับก็หลับไม่สนิท ตื่นขึ้นมาก็เพลีย หน้าตาก็โทรม ก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ สุขภาพจิตเสีย สุขภาพกายก็เสีย ความเครียดเหล่านี้ในทางพุทธศาสนา ก็บอกให้เรารู้จักปลง ปล่อยวาง ให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ปฏิบัติทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนจนเกินไป รู้จักประมาณตน ก็สามารถลดความเครียดลงได้ ลองดูกันครับ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ฝันที่(เมื่อไหร่จะ)เป็นจริง...

คุณเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไหม... บางทีอะไรที่ดูง่ายๆ...แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่เป็นอย่างที่คิดที่หวัง... ถ้อยคำที่ฟังง่ายๆ... เบื้องหลังก็แผงเงื่อนไขหลายอย่างจนแทบไม่น่าเชื่อ... ผมหรือใครๆก็ต่างมีความฝันกันทุกคน ฝัน....ที่ใครๆก็มีได้... แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำให้มันเป็นความจริง บางคน...ก็คว้ามันได้อย่างง่ายดาย บาง...คนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด บางคน...ก็ไปไม่ถึงสักที ทั้งๆที่อยู่แค่เอื้อม บางคน...ก็เหมือนกับมีฝันไว้ล้อเล่นกับชีวิต พอจะถึงก็หายไป พอสักพักก็มาอีกให้ดีใจ ไขว่คว้าไปก็สูญเปล่า... และฝันของผมก็มักจะเป็นอย่างหลังนี้

แต่มันก็เป็นสิ่งเดียว...ที่หล่อเลี้ยงชีวิต...เติมกำลังใจให้ผมมาโดยตลอด ให้มีแรงได้ยืนหยัด... เหมือนกับหลอกตัวเองว่า " เราอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนนะ....ความฝันเราไกล้จะสำเร็จแล้ว...ไกล้แล้ว..." แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสำเร็จ เคยได้ยินเพลงของ อัสนีย์-วสันต์ ร้องว่า "หากเราคิดอะไรสักอย่าง ต้องมีทางสู่ความสำเร็จ หากเราคิดจะทำให้เสร็จ อย่าพูดเท็จกับตัวของเรา.." ผมก็ว่าความมุ่งมั่นของเราก็ไม่ด้อยไปกว่าใครนะ... แต่ทำไมไปไม่ถึงเสียที สะดุดตลอด เหมือนซีดีเป็นรอย เล่นไม่จบสักที แต่ก็พยายามเล่นไปนะ จนกว่าเครื่องอ่านจะพัง ก็เป็นความสุขเล็กๆ สุกๆดิบๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมยังมีความเชื่อว่า... ยังมีอีกหลายสายตาที่รอดู รอให้ผมไปถึงจุดที่คิดหวังไว้ เหมือนอย่างที่ผมอยากเห็น...ใครบางคนไปถึงจุดที่เค้าฝันไว้ แม้เราจะไม่มีส่วนร่วมแต่ก็ร่วมยินดีด้วยกับความสำเร็จนั้น อย่างเพื่อนยินดีกับเพื่อน... ยินดีกับพี่ น้อง ลูกหลาน...

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าผมจะเคยผิดหวังมาหลายครั้ง... ล้มแล้วล้มอีก... เสียความรู้สึกที่ดี... ความมั่นใจในตัวเองไปสักเท่าไร... แต่...เมื่อมองลงไปลึกๆแล้วก็ไม่ได้เป็นการสูญเปล่า... อย่างน้อยก็ได้รับประสบการณ์ชีวิตมาเพื่อสอนให้รู้ว่าควรจะทำอย่างไร... กับเวลาที่เหลืออยู่...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

(ไอ้)คุณเบียร์เพื่อนผม

ชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางใจดี(ในบางครั้ง)พกพาความฮามาให้เพื่อนๆได้น้ำหูน้ำตาไหลเป็นประจำ ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะทำให้เพื่อนๆเสียใจ(โดยตั้งใจ)หรือเจ็บตัว เนื่องด้วยความเป็นศิลปินของเขา จะไม่ค่อยจะมีเหตุจูงใจอะไรให้เกิดเรื่องประเภทบู๊ล้างผลาญ และ(ไอ้)เพื่อนคนนี้ของผมก็เป็นคน(ค่อนข้าง)ใจเย็น มีเหตุมีผล

แต่และแล้วก็ถึงวาระที่จะต้องเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ช่วงนั้นผมและไอ้เบียร์ได้ย้ายห้องพักไปเช่ารวมอยู่กับเพื่อนๆประมาณ ๕-๖ คน เวลานอนงี้เรียงกันเป็นตับ(นอนกับพื้น) ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่คนหลายคนอยู่รวมกันจะต้องมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกันตามประสา วันนั้น หลังกลับจากเรียนทุกคนก็เหนื่อยเมื่อยล้า ผมคนหนึ่งหละที่ไม่ไหวแล้ว กินข้าวเสร็จก็อาบน้ำ แล้วเอนหลังนอนแต่หัววัน จนกระทั่้งประมาณสองทุ่มกว่า ไอ้อ้วน(เพื่อนในกลุ่ม) ก็มาชวนเพื่อนๆรวมถึงผมไปเที่ยว(กลางคืน)กัน พวกเราก็ ตอบตกลง โอเค แต่งตัว (พยายาม)ทำหล่อ เท่ห์ ตามสไตล์ใครสไตล์มัน แล้วก็ไปรวมตัวกันที่ผับแห่งหนึ่ง...กิน ดื่ม แด๊นซ์กันเต็มที่ แล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันต้องเลิกรา ผมก็ขอตัวกลับเพราะเริ่มไม่ไหว ก็มีเพื่อนอีกกลุ่มที่จะกลับพร้อมกัน จะมีก็ไอ้บอยที่ยังฟิตเปรียะเที่ยวชวนใครๆให้ไปเที่ยวต่อที่อื่น ซึ่งก็จะมีอีกประมาณ ๒-๓คนที่จะไปต่อ ผมกับไอ้เบียร์และเพื่อนอีกกลุ่มจึงเดินทางกลับห้องพัก เปลี่ยนชุด แล้วก็นอน กำลังนอนอย่างสบายๆ ได้สักประมาณครึ่งชัวโมง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อกๆ เงียบ............... จนไอ้นิดทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นไอ้บอย เพื่อนร่างผอม เมาอ้อแอ้ ชวนไอ้นิดไปเที่ยวต่อ ไอ้นิดบอกไม่ไหว ง่วง แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ทิ้งไอ้บอยยืนนิ่งได้สักพัก ก็เริ่มใช้เท้าเขี่ยเพื่อนคนที่นอนต่อๆไป พร้อมชวนไปเที่ยว ซึ่งผมก็โดนด้วยแต่ก็ปฏิเสธไป แต่ก็แอบดูต่อไปว่า ไอ้บอยจะทำไงต่อไป ไอ้บอยก็เขี่ยไปจนกระทั่งถึงคิวไอ้เบียร์ซึ่งเป็นคนสุดท้าย "สงสัยคืนนี้ต้องมีเรื่อง" ผมนึกในใจ ไอ้บอยก็ใช้สูตรเดิม เท้าเขี่ยๆ ปากก็พูด"เฮ้ยๆ...กินเหล้ากันต่อ เบียร์.." ไอ้เบียร์ก็ลุกขึ้นมาปฏิเสธ พร้อมกับบอกให้ไอ้บอยกลับไปนอน ไอ้บอยก็ไม่ฟังตื้อชวนต่อไป(เพราะเหลือคนสุดท้ายแล้ว) ทั้งยังใช้เท้าเขี่ยไอ้เบียร์ตลอด ยังผลให้ไอ้เบียร์ลุกพรวดขึ้น กระโดดถีบแบบไอ้มดแดง ไอ้บอย หนุ่มร่างผอมเกร็งกระเด็นตัวลอยไปแปะอยู่ที่ประตูห้องพร้อมรูดลงมากองที่พื้น "ไอ้เบียร์ มึงเตะกูเหรอ มึงทำงี้ได้ไงวะ.." ยังไม่วายมีเสียงจากปากไอ้บอย ไอ้เบียร์หาได้สนใจไม่ กลับลงไปนอนต่อซะงั้น เพื่อนๆบางคนตื่นขึ้นมาเห็น ก็บอกไอ้บอยให้กลับห้องไป ไอ้บอยก็บ่นไปบ่นมาแบบเมาๆ หาว่าเพื่อน(ไอ้เบียร์)ไม่รัก รังเกียจตัวเอง แล้วก็เดินลงไปชั้นล่างของหอพัก ไปคว้าเอาไม้ยาวๆประมาณ ๒วา ลากขึ้นมาที่ห้องจะตีไอ้เบียร์ เพื่อนๆก็ช่วยห้ามไว้ทัน ไอ้บอยก็เลยน้อยใจวิ่งออกไปบนถนนจะให้รถชน เพื่อนๆก็ห้ามไว้อีก(เฮ่อ....) แล้วก็ล็อคตัวพาไ้อ้บอยไปส่งที่ห้องอย่างทุลักทุเล ผมก็ปวดหัวเพราะแทบจะไม่ได้นอน ส่วนไอ้เบียร์ยังคงนอนหลับอย่างสงบนิ่งบนที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราว จนเช้าผ่านไป จนเที่ยงวันไอ้เบียร์จึงค่อยตื่นขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดแล้วจึงรู้เรื่องจากปากเพื่อนๆ เพราะไอ้เบียร์มันบอกมันจำไม่ได้เมื่อคืนเมา สุดท้ายก็ไปเคลียร์กัน จับมือเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ผมว่าก็ดีนะที่เิกิดเรื่องขึ้น เพราะไอ้เบียร์ก็นจะได้รู้ว่ามันบ้านอนแค่ไหน ยิ่งตอนเมาก่อนนอนด้วยแล้ว ส่วนไอ้บอยก็จะได้รู้ว่าไม่ควรรบกวนคนเวลานอน ใจเขาใจเรา ด้วยความเมาด้วยแหละไ้อ้บอยถึงต้องโดนถีบไปนอนกองข้างฝา

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชีวิตนี้ ไม่ใช่ชีวิตหนี้

เคยมีประโยคหรือวลี(ที่คิดว่า)เด็ดหลุดออกจากผมและเพื่อนๆเสมอ เวลาที่ได้เจอกัน ตั้งวงอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราเสวนากันอยู่ในขณะนั้น เมื่อผมได้เล่าเรื่อง(ที่คิดว่า)ขำๆจบลง เพื่อนๆก็จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ประมาณว่า "จบแล้วเหรอ" ไอ้เบียร์ก็พูดขึ้นว่า "ในความไม่ตลก ก็ยังมีความตลก" แล้วทุกคนก็ขำกันฮากลิ้ง ส่วนคนที่ขำไม่ออกก็คือผู้เล่าก็คือ ผมเอง แหม ถ้าขำเรื่องที่ผมเล่าก็จะได้ฮาด้วยกันอยู่หรอก จำไว้เลยนะ หึ...หึ... และจากคำกล่าว(ของไอ้คุณเบียร์)นี้เอง ที่เป็นต้นแบบของคำกล่าวลักษณะนี้ตามออกมาให้ได้ยินเป็นระลอกๆ

วันหนึ่งขณะที่ผมและเพื่อนๆชาวคณะเดินกรีดกราย ชื่นชมสิ่งของต่างในลานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ต่างคนก็ต่างมองหาสิ่งของที่ตัวเองต้องการ ผมก็เหลือบไปเห็นกระจกของร้านขายเสื้อผ้า ก็เลยถือวิสาสะส่องกระจกโดยมิได้ขออนุญาตเจ้าของร้าน พร้อมกับใช้มือเสยผม แกะขี้ตา ครูดสิว ตามแต่สะดวกสรรหา พฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่อาจพ้นสายตาของไอ้เบียร์ไปได้ มันพูดพร้อมกับชี้มือมาทางผมว่า "ในความไม่หล่อ ก็ยังมีความหล่อ" เพื่อนๆก็ขำกลิ้งกันอีกตามเคย แหม......... รู้ตัวครับ ว่าหน้าตาไม่ดี แต่งตัวก็เชย ไม่เหมือนพระเอกซีรี่ส์เกาหลีแต่ก็ขอประคับประคองนิดนึงไม่อยากให้มันเลวร้ายไปกว่านี้ นิดนึงนะ........

กล่าวถึงไอ้เบียร์อยู่นาน ก็อดคิดถึงเพื่อนคนนี้ไม่ได้ ป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้ ผมคบกับไอ้เบียร์ตั้งแต่มัธยมต้น แล้วก็แยกกันตอน ม.ปลาย ผมเรียนต่อสายสามัญ(ม.๔-๖) ส่วนไอ้เบียร์ไปเรียนต่อสายอาชีวะ(ปวช.-ปวส.) ไอ้เบียร์เป็นอะไรหลายๆอย่างในกลุ่มเพื่อน เป็นศิลปินเขียนภาพ วาดรูปเก่ง ด้วยปากกาหรือดินสอ ผมเคยเห็นเค้าวาดตั้งแต่ตอนแรกๆที่ต้องร่างด้วยดินสอ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่เจอก็วาดได้เลยโดยไม่ต้องร่างสุดยอดครับ

กล่าวได้ว่าศิลปะเกือบทุกแขนงไอ้เบียร์สามารถทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น วาดรูป คน การ์ตูน งานปั้น งานหล่อ(ปูนปลาสเตอร์) งานประกอบโมเดลตุ๊กตา พ่นสี ฯ หรือแม้กระทั่งเป็นศิลปินนักร้อง เล่นตลก อันนี้ก็เรียกเสียงฮากันตลอด ไอ้เบียร์เป็นเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่งที่คบกันมา แต่ผมก็เห็นเค้าสนิทชาวบ้านเค้าไปทั่ว เฮไหน เฮกัน แต่เห็นเค้าเฮๆ ฮาๆอย่างนี้ บางทีก็ซีเรียสเป็นกะเค้าเหมือนกันนะครับ อันนี้เจอมากับตัวเอง

สมัยเรียนหนังสือ แล้วจำเป็นต้องห้องพักอยู่ด้วยกันสองต่อสอง(อะจึ๋ยยย) วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ไม่รู้ว่าไอ้เบียร์ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา วันนั้นเค้าจึงเริ่มต้นด้วยการนอน นอน นอนบนที่นอน น่าแปลกไหม น่าแปลกครับ เพราะปกติต้องเห็นเค้าลุกขึ้นมาทำงานศิลป์ของเค้า และเค้าก็เคยบอกผมว่า นอนมากขี้เกียจเหมือนควาย(ขอโทษครับที่ไม่สุภาพ) ผมจึงต้องตื่นขึ้นมานั่งอ่านหนังสือ นั่งก็แล้ว นอนก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าไอ้เบียร์จะตื่นเสียที จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกหิวข้าว ไอ้เบียร์เพื่อนผมก็ยังไม่ตื่น จึงเข้าไปปลุกกะว่าจะได้ไปหาอะไรกินกันหรือไม่ก็ซื้อมากินที่ห้อง "เฮ้ย...เบียร์ๆ ตื่นๆ ไปหาอะไรกินกัน" ผมเรียกพร้อมเขย่าตัวแรงๆ "เออๆ....ไปก่อนๆ" เสียงไอ้เบียร์พึมพัมเหมือนคนละเมอ ทำไงได้หละครับ ผมก็เลยต้องไปซื้อกับข้าวคนเดียว อีกสักประเดี๋ยวผมก็กลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหาร ไอ้เบียร์ก็ยังสงบนิ่งบนที่นอนเหมือนเดิม ผมจึงต้องจัดแจงแกะห่อกับข้าวลงสู่ภาชนะอย่างเสร็จสรรพ แล้วก็เข้าไปปลุกเพื่อนอีกรอบ "เฮ้ยๆ....มืดแล้ว กินข้าว" ผมประชด .......... มีเพียงความเงียบตอบกลับมาพร้อมกับพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนอย่างไม่แยแส "เอาวะ...กินคนเดียวก็ได้" ผมนึกในใจพร้อมกับนั่งลงกินข้าวปลาที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนรักก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาร่วมวงด้วยเลย ด้วยความเสียดายกับข้าวที่เหลือเพราะในห้องไม่มีตู้เย็นเก็บกับข้าว จึงต้องจำใจกินส่วนที่เหลือให้หมด แล้วเก็บกวาดให้เรียบร้อยไม่งั้นมดจะมาช่วยเก็บพร้อมกับมาอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นผมก็นั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจเฉิบ สักพักก็ได้ยินเสียงไอ้เบียร์ขยับตัว และดันตัวเองลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจจจจ..แล้วเหลือบมาทางผม "ไปกินข้าวกัน...." เสียงชวนอย่างอารมณ์ดีของเพื่อน "กินแล้ว...เมื่อกี๊...เพิ่งเก็บกวาดเสร็จก็มานั่งอ่านหนังสือนี่แหละ" ผมว่า "อ้าว...เหรอ ไม่เห็นชวนกันมั่ง..." ดูมัน แล้วยังทำหน้าแบบว่า เอ็งผิดนะเนียะที่ไม่ชวนข้า "ไอ้บ้านอน.. นอนมากใครมาปลุกก็ไม่รู้เรื่อง" ผมกะจะบ่นต่อ ไอ้เบียร์ก็ชิ่งไปอาบน้ำแล้วก็ออกไปกินข้าวข้างนอก จากเหตุการณ์นี้ก็เกิดฉายา "ไอ้เบียร์บ้านอน(นอนจนเป็นบ้า)"เป็นที่เล่าขานในหมู่เพื่อนพ้อง แต่ตำนานความบ้านอนของไอ้เบียร์ยังไม่จบแค่นี้นะครับ ยังมีอีกแต่จะออกแนวรุนแรงนิดนึงซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย จบเรื่องนี้ก่อนเริ่มเมื่อยมือ.....