lozocatlozocat
"It's my life "
lozocatlozocat

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หวัดใหญ่2009

หลายวันมานี้ผมรู้สึกเพลียๆกายใจยังไงชอบกล คงจะเป็นเพราะว่า นอนดึกติดต่อกันหลายวัน เพื่อเร่งงานด่วนให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้ .......

และแล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาเยือนผมจนได้ ผมเริ่มปวดหัว ต้นคอ หลัง ตา เจ็บคอ เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เพราะช่วงนี้มีข่าวการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ผมยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะได้ยินข่าวว่าตรวจทีต้องเสียค่าตรวจหลายตังค์ คงต้องทำใจยอมรับสภาพเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราก็มีอยู่แค่นี้จะเร็วจะช้าก็ต้องได้เจอกันทุกคน แม้แต่ราชาเพลงป๊อบ ไมเคิล แจ็คสัน(Micheal Jackson) ก็ยังหนีไม่พ้น พักนี้คนดัง ดารา ก็ได้จากไปหลายคน ส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยสาเหตุโรคภัยไข้เจ็บ....

มีคนเคยบอกว่า ถ้าเราตายไปแล้วก็เหมือนกับพ้นทุกข์ คือหมดเวรหมดกรรม ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ผมเจ็บคอมาเป็นอาทิตย์แล้ว สองวันก่อนอาการดีขึ้น แต่เช้าวันนี้สิกลับเจ็บขึ้นมาอีกและมีเสลดมาจุกอยู่ที่คอตลอด กลืนน้ำก็ลำบาก ปวดหัว ผมใช้ยาบรรเทาปวดซาร่า ก็ช่วยได้บ้าง ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นไม่ค่อยปวดหัวแล้ว อาจเพราะฤทธิ์ยาหรือว่าอาการดีขึ้น ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้เป็นเลยไข้หวัด2009 ครั้งนี้ผมขอตกเทรนด์ หล้าสมัย เชย ก็ยอม เพราะผมยังไม่อยากไปก่อนวัยอันควรถ้าขอผลัดผ่อนได้ผมขออีกสัก สิบปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ ผมว่าเวรกรรมผมยังไม่หมดแค่นี้ขอให้ผมได้อยู่ชดใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดเสียทีก่อน ถ้าไปตอนนี้ผมคงตาไม่หลับแน่ เพราะยังห่วงหลายอย่างลูกชายก็ยังเล็กแถมเป็นเด็กพิเศษด้วยใครจะคอยดูแล....

หวัดสองพันเก้าตอนที่เข้ามาใหม่ๆเห็นท่านผู้ใหญ่เค้าบอกว่าไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะไม่ได้ติดกันง่ายๆ ขอเพียง สวมหน้ากาก(ปิดจมูกปาก) ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา แคะขี้มูก และสัมผัสสิ่งของ(ใช้)ร่วมกัน แต่หลังจากนั้น ผมดูข่าวในทีวีกลับพบว่า มีผู้ติดเชื้อหวัด2009นี้เพิ่มขึ้นทุกวัน วันละหลายๆคน นอกจากนี้ก็ยังมีคนป่วยที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ผมว่าเรานิ่งนอนใจไม่ได้แล้วหละด้วยความเป็นห่วงทางบ้าน ก็เลยโทรไปถามข่าวที่บ้านต่างจังหวัด เค้าก็บอกเป็นกันหลายคน แต่ก็ดูเค้าไม่ค่อยตื่นตระหนกมากนัก แต่วันนี้ผมกลับมาเป็นเสียเอง(ยังไม่ได้ไปตรวจ)......

สองพันเก้าเอ๋ย
จงผ่านเลยอย่างฝันร้าย
อย่าได้กรายกร้ำติดชีวิตข้า
ลูกยังเล็กเป็นเด็กพิเศษใครเมตตา
ขอให้ข้าพาเขาไปในทางดี
ปีนี้โลกเป็นอย่างไรเป็นไปก่อน
โลกจะร้อนหรือจะหนาวเราไม่หนี
แต่เจ้าเอย สองพันเก้า เอาไปที
อย่าได้มีมาพรากข้าจากจร......
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ....

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เดท....ครั้งแรก

คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง คำกล่าวนี้อาจจะใช้ไม่ได้ทุกโอกาสเสมอไป โดยเฉพาะกับคนที่ไม่หล่อ แถมคารมก็ไม่สู้ดีนักอย่างผม จึงไม่ค่อยได้เห็นภาพผมควงคู่สาวที่ไหน วันๆก็จะทำงาน พบปะก็เฉพาะลูกค้าที่มาติดต่องาน เพื่อนร่วมงานก็มีแฟนแล้ว เห็นเค้ามากันเป็นคู่ๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเราช่างไม่มีใคร ช่างเหงาซะเหลือเกิน ข้าวเย็นก็กินคนเดียว เดินห้างก็เดินคนเดียว เพราะเพื่อนๆเค้าพักอยู่ไกลเดินทางกันนานกว่าจะไปถึงก็ค่อนวัน นานๆไปทีก็พอไหว ขากลับกว่าก็จะถึง ช่วงนั้นก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือทำให้ติดต่อกันยาก

แต่แล้วโลกก็ได้หมุนให้ผมได้มาเจอกันกับสาวคนนี้ ที่มีชื่อว่า "น้องอ้อม" น้องอ้อม ตากลมผมยาว เป็นเพื่อนของลูกค้าที่มาติดต่องานกับผม ก็จะเจอกันเป็นประจำ มองไปมองมาก็รู้สึกว่า น่ารักดี อัธยาศัยดี พูดดี ดูเป็นผู้ใหญ่ อะไรก็ดูดีไปหมด แล้วผมก็แอบถามข้อมูลจากเพื่อนเค้าก็ทราบอีกว่าเค้าเป็นหัวหน้าคิวซี ของบริษัท ผมก็ถึงบางอ้อว่า มิน่าเล่า ถึงได้ดูดีขนาดนั้น ซึ่งต่างจากผมมาก(แค่พนักงานรัฐวิสาหกิจ ระดับปฏิบัติการ) ด้วยเหตุว่า ผมมักจะถามเพื่อนเค้าบ่อยๆเวลาที่มาติดต่องาน เพื่อนเค้าก็เลยรู้ว่าแอบสนใจน้องอ้อมอยู่ ก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์มา "สนใจอ้อมเหรอ.." "..อืมม..น่ารักดีนะ..." "เอาเบอร์ไปสิ...เค้าก็สนใจพี่เหมือนกันนะ.." ผมก็ได้แต่ยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าอำหรือเปล่า แต่ก็รับเบอร์โทรมา

ด้วยความที่ไม่เคยจีบใครเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ผมไม่กล้ากดเบอร์โทรไปหาน้องอ้อมสักที เพราะกลัวว่าพูดผิดเดี๋ยวเป็นเรื่อง จนกระทั่งหลายวันต่อมา เค้าก็มาติดต่องานกับเพื่อนอีกครั้ง ก็เห็นแล้วว่าน้องเค้ายิ้มมาแต่ไกล ผมก็ทั้งตื่นเต้นทั้งแปลกใจ ดีใจ ทำอะไรไม่ถูก ก็ได้แต่ยิ้มตอบ จะทักก็ไม่กล้าทัก เพื่อนน้องอ้อมก็ไปติดต่องานที่ช่องอื่นปล่อยให้น้องอ้อมเดินตรงรี่มาที่ช่องผม "พี่...ไม่เห็นโทรหาเลย..." น้องอ้อมเอ่ย พร้อมด้วยรอยยิ้มหวานๆ "เอ่อ...พอดีช่วงนี้งานยุ่งๆนะครับ.." ผมก็อ้อมแอ้มแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆด้วยความเขิน "เหรอค่ะ...ว่างเมื่อไหร่ก็โทรได้นะค่ะ..." เราคุยกันได้สักพัก เพื่อนน้องอ้อมก็มาเรียก เพราะเสร็จธุระแล้ว ก่อนกลับน้องอ้อมก็ทิ้งรูปไว้ให้ดูต่างหน้า พร้อมข้อความด้านหลัง "พี่...น่ารักมาก..." ผมงี้ยิ้มหน้าบาน โอ้...ช่างเป็นวันที่สดใส หัวใจพองโตเสียยิ่งกระไร

ตกเย็นหลังเลิกงานวันนั้น ผมก็รวบรวมความกล้าเท่าที่ติดตัวมาจากบรรพบุรุษ ต่อโทรศัพท์ไปหาน้องอ้อม ตุ๊ด..ตุ๊ด...ตุ๊ดๆๆ
"สวัสดีครับ.."
"สวัสดีค่ะ..."
"ขอ..สายน้องอ้อมครับ.."
"พี่เหรอ.....ดีใจจัง"
แล้วเราก็สนทนากันไป ช่วงไหนว่างก็จะโทรหา แต่เรื่องทีคุยก็เริ่มน้อยลงๆ เพราะผมเองก็คุยไม่ค่อยเก่ง จะจีบเลยก็ไม่กล้า กลัวเค้าจะเลิกคบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว
"พี่...วันอาทิตย์นี้ว่างไม๊..."
"ครับ...ก็พอว่างครับ.."
"ไปดูหนังกันไม๊..." น้องอ้อมชวน (ดู่...ดู้...ดู ให้สาวเอ่ยปากชวนไปดูหนัง นึกขึ้นตอนไหนก็อายตอนนั้น) ผมก็คิดอยู่ตั้งนาน เพราะตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่เคยเฉียดเข้าไปไกล้โรงหนังสักที ซื้อตั๋วก็ไม่เป็น แต่ก็....
"ได้ครับ.....ดูเรื่องอะไรหละครับ..." แต่ตอนนั้นสมองปั่นป่วนมาก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดหละวะ จะไปถามใครก็อาย ว่าดูหนังยังไง ซื้อตั๋วไม่เป็น ก็คนไม่เคยนิ

แล้วก็ถึงวันนั้น น้องอ้อมยังคงน่ารักเหมือนเคย ส่วนผมก็พยายามเต็มที่(ไม่รู้ว่าเป็นไง)แต่ก็ไม่ต่างจากชุดฟอร์มทำงาน เป็นการออกเดทแบบงงๆ(ของผม)ผสมความง่วง เพราะเมื่อคืน ซ้อมดนตรีกับเพื่อนจนดึก แต่ก็สู้(โว้ย) น้องอ้อมก็คง งงๆด้วยเช่นกัน ที่เห็นท่าทางผมอย่างนั้น คือทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนที่เพิ่งเคยเข้าโรงหนังครั้งแรก ก็เลยชวนกินอะไรรองท้องก่อน แล้วเค้าก็ไปซื้อตั๋วให้(น่าอายไม๊...เนี่ยะ) แล้วก็เข้าไปในโรงหนัง หนังก็เริ่มฉายไปสักพัก ด้วยความง่วงประกอบกับกินข้าวอิ่มท้อง ก็เลยเข้าตำรา "หนังท้องตึง..หนังตาหย่อน" ผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่ง "พี่...หนังจบแล้ว" ผมก็สะดุ้งตื่น งัวเงีย งงๆ เห็นน้องอ้อม หน้าตาไม่ค่อยดูดี ก็เลยแก้ตัวไป ว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ แล้วผมก็พาเค้าไปส่งที่ป้ายรถเมล์ ท่าทางน้องอ้อมจะผิดหวังกับตัวผมมาก เธอก็เงียบหายไปหลายวัน โทรไปหาก็ไม่รับสาย ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า คงต้องจบแล้ว ผมทิ้งเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ให้ความเงียบสงบจิตใจ แต่ด้วยความอะไรดลใจผมก็ไม่ทราบให้เกิดความคิดที่ว่า น่าจะรู้จากปากเธอดีกว่า เราอาจจะคิดไปเองก็ได้ ก็เลยโทรไปหาน้องอ้อมอีกครั้ง ครับ....คราวนี้ได้ผล มีคนรับสาย....แต่เป็นผู้ชาย..

"สวัสดีครับ...ขอสายน้องอ้อมครับ"
"ครับ...น้องอ้อมไม่อยู่ครับ"
"ครับ...แล้วจะโทรมาใหม่นะครับ.." ผมถอนหายใจ เริ่มเห็นลางร้าย แต่ก็ไม่วาย หัวใจสะออน โทรไปหาเค้าอีก
"สวัสดีครับ...ขอสายน้องอ้อมครับ"
"ครับ...น้องอ้อมไม่อยู่" ครับเป็นชายคนเดิม แต่น้ำเสียงแข็งขึ้น
"ขอคุยกับน้องนิดนึงได้ไหมครับ.."
"น้องอ้อมเค้าไปกับแฟนเค้าแล้วคุณ... เค้าไม่อยู่หรอก..." ความจริงคำนี้ผมอยากได้ยินจากปากน้องอ้อมมากกว่า แต่เค้าคงไม่อยากคุยกับผมจริงๆ ก็เลยให้คนอื่นรับแทน ผมก็เสียใจพอประมาณ เพราะรู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ก็ได้แต่ทิ้งความหลังให้เลือนไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้น้องเค้าได้ไปพบกับผู้ชายดีๆอย่างที่ควรจะเป็น โชคดีครับ...น้อง

เชื่อ...หรือไม่..

ชีวิตคนเรามีสองด้านเสมอ
ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
เมื่อพิจารณาดูแล้วก็ิยิ่งเห็นจริง
มีสูง..ย่อมมีต่ำ
มีดำ....ย่อมมีขาว
มียาว......ย่อมมีสั้น
มีวัน.............ย่อมมีคืน
มียืน..ย่อมมีนั่ง
มีดัง......ย่อมมีดับ
มีคับ......ย่อมมีหลวม
มีบวม..............ย่อมมียุบ
มีผลุบ..ย่อมมีโผล่
มี่No.........ย่อมมีYes
มีทุเรศ.............ย่อมมีดูดี
ฯลฯ(ชักไปใหญ่)


จะเห็นได้ว่า จะมีด้านตรงข้ามเป็นของคู่กันเสมอ ชีวิตของผมเองก็เคยพบกับด้านมืดอย่างไม่ได้ตั้งใจมาแล้วเช่นกัน เคยทำให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้ของท่าน และผมเองก็ผิดหวังในตัวเอง จนบางทีหมดความเชื่อถือตัวเองไปเลย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปพิจารณาเรื่องราวทุกอย่างล้วนแล้วมีเหตุมีผลเป็นมาเป็นไปทั้งสิ้น ผมตัดสินใจเกี่ยวกับงาน ชีวิต ครอบครัวทุกครั้งจะคิดก่อนเสมอ เพราะแต่ละบทพิสูจน์นั้นยากยิ่งนักต้องแลกกับเงื่อนไขที่ยากจะปฏิเสธ แม้จะล่วงเลยเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นเหมือนตราบาปในใจ ก็ได้แต่คิดว่า ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น การทำใจยอมรับสภาพแล้วค่อยๆฟื้นฟูจิตใจตัวเอง ต้องอาศัยเวลา และกำลังใจจากคนรอบตัว โชคดีที่ผมยังพอมีคนเหล่านี้ ต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ไม่ปล่อยให้ผมรู้สึกตกต่ำลงไปมากกว่านี้ และให้ผมได้ค่อยๆกลัับคืนสู่สภาพปกติ ขอบคุณครับ......

จ่าหมอง(ภาคต่อ)

มาอ่านกันต่อเลยครับเรื่องราวของจ่าหมองเพื่อนผมคนนี้ที่มีดีแต่ไม่ค่อยชอบโชว์ สองสามวันก่อนผมกับจ่าก็ยัง กริ๊ง กร๊าง คุยกันอยู่เรื่อยๆ เรื่องดนตรี กีฬา สุขภาพ จ่าเค้าใจดีมีวิทยาทานให้ผมไว้ประดับสมองอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ต้องแทงยู แทงยู เวรี่มัช ไม่น่าเชื่อว่าจ่าจะเป็นคอเพลงฮาร์ดร็อค เพราะเค้าดูออกจะขี้อายด้วยซ้ำ เรื่องจีบหญิงไม่ต้องพูดถึง ผมกับจ่า.....พอๆกัน(ไม่ได้เรื่อง) เพราะความใจดี เสียสละให้คนอื่นเค้าได้สมหวังในความรัก ตัวเองไม่เป็นไร ยังไงก็ได้(ความจริงไม่กล้าเข้าไปจีบ เพราะรู้ตัวว่ารูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย คารมก็ไม่เป็นต่อ รูปหล่อก็ยังเป็นรอง) แต่กระนั้น เค้าว่า เสียอย่างก็ต้องได้อย่าง อย่างจ่าหมองเพื่อนผม แม้คารมจะไม่เป็นเลิศ จีบหญิงไม่ค่อยเก่ง(หนักไปทางคุยเล่นเฮฮา ..ฮาแก้เขิน)อย่างไรก็ตามจ่าหมองก็ยังมีสิ่งที่โดดเด่นอีกเรื่อง ก็คือ เรื่องการเรียน บ่อยครั้งที่ผมได้อาศัยใบบุญของจ่าบ่อยๆ(ลอกการบ้าน...ไม่ดีนะครับ) จ่าหมองจะมีความจำเป็นเลิศ สมกับชื่อสมอง ส่งผลให้เขาเรียนได้ไม่ด้อยไปกว่าใครและสอบเข้าโรงเรียนจ่าอากาศได้เมื่อจบ ม.ปลาย(ผมคิดว่า)และการที่เขาเล่นกีต้าร์ แกะเพลง ได้เร็วและได้ดีนั้นมาจากสมองชั้นเลิศของเขา เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ที่สำคัญยังใจดีบอกกล่าวเรื่องราวให้เพื่อนๆได้เป็นวิทยาทานอีก ขอแสดงความนับถือๆ ในเรื่องของความรู้ ประสบการณ์ กำลังใจ ก็ยังคงมีมาจากเพื่อนคนนี้เสมอๆในยามที่ต้องการ สิ่งหนึ่งที่จำได้คือจ่าหมองจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี อัธยาศัยใจคอดี ก็จะส่งผลทำให้เป็นคนมีเพื่อนมาก บางคนก็มาเอาเปรียบเค้า ยืมกีต้าร์เค้าไปแล้วก็ทำลืม หายไปเลยก็มีซะงั้น จ่าก็ได้แต่ยิ้ม บอกไม่เป็นไร(แต่ผมเสียดายแทน)

แต่ด้วยความดีทั้งหลายทั้งปวงที่จ่าได้ทำมาหรือจะว่าบุญวาสนาอะไรก็ตาม ส่งผลให้ปัจจุบัน จ่าได้พบกับคู่ชีวิตร่วมทางสายร๊อค พร้อมกับสมาชิกใหม่ตัวน้อยที่ทำจ่าหายเหนื่อยจากการงาน ชีวิตยังอีกยาวไกล สู้ต่อไปนะ จ่าหมอง.....

จ่าหมอง(จอมอัจฉริยะ)

เพื่อนหมอง จ่าหมอง หมอง หรือสมองคือชื่อเล่นของเขาหละ เพื่อนผมอีกคนที่ภูมิใจนำเสนอเพราะทึ่งในความสามารถของเขาหลายๆอย่าง ทั้งทางด้านกีฬา ดนตรี หรือศิลปะ แต่ความสามารถที่โดดเด่นของเขาน่าจะเป็น ดนตรีและกีฬาแต่ผมก็เชื่อว่า ถ้าเค้าได้ฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องศิลปะอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินคว้า จ่าหมองเลือกที่จะเล่นกีต้าร์และฝึกฝนอย่างจริงจัง ทางด้านกีฬาเค้าก็เลือกที่จะเล่นฟุตบอลซึ่งเค้าก็ได้เป็นทีมโรงเรียนได้ยินข่าวว่าไปลงแข่งขันตรงนั้นตรงนี้เสมอๆ

เมื่อตอนสมัยมัธยมปลายผมกับจ่าได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เกาะกลุ่มกันอยู่ด้านหลังห้องเป็นพวกใต้ดินอะไรประมาณนี้ ชอบเล่นอะไรที่ชาวบ้านเค้าไม่ค่อยเล่นกัน ตีกอล์ฟหลังห้อง โดยไปหาว่าตรงไหนของหลังห้องมีหลุมเล็กๆพอประมาณ แล้วใช้เศษชอล์กฝนๆให้เป็นลูกกลมๆ เป็นลูกกอล์ฟ ส่วนไม้ก็ใช้ใส้ปากกาที่หมดแล้วหักปลายให้งอๆ แต่ละคนก็จะมีไม้ส่วนตัวที่ทำขึ้นเอง แล้วก็พลัดกันตีจนลงหลุม ใครฝีมือดีก็จะโฮลอินวัน พอเริ่มหมดสนุกตีกอล์ฟก็แต่งกลอนสลับกันคนละท่อนใครต่อไม่ได้ก็ต้องผ่านให้คนอื่นแต่งต่อจนลงเอย หรือไม่ก็ได้แต่เนื้อหาต้องจบคือไปต่อไม่ได้แล้ว ถามว่าสนุกตรงไหนแต่งกลอน สนุกตรงที่ได้โชว์ไหวพริบและทักษะในการใช้ภาษาไทย เชื่อกันว่าจะได้เป็นกวีในภายภาคหน้า พอเริ่มเมื่อยที่จะแต่งกลอนหรือแต่งไปหลายบทแล้ว หรือแต่งไม่ลงไม่จบสักที พวกเราก็จะมีซาวด์อะเบ้า(เครื่องเล่นเทปคาสเส็ตแบบพกพา)คนละเครื่องและหูฟังเสียบที่หู ใช่แล้วครับได้เวลาฟังเพลงของพวกเราแล้ว เพลงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงร็อค อย่างของผมจะเป็นเพลงร็อคไทยอัสนี-วสันต์,ไมโคร,เฟรม,นูโว, ไฮร็อค, ชั๊คกี้, คาไลโดสโคป, ดิโอฬารโปรเจ็ค, แหลมมอริสัน, Europe เพลงป๊อบ อริสมันส์, พี่แจ้แกรนด์เอ๊กส์,ติ๊กชิโร่ เยอะแยะ ของจ่าจะหนักไปทางเพลงสากลประเภทฮาร์ดร็อค ACDC,U2,Whitesnake,Ugly kid Joe,Steve vai,Jimi Hendrix,Joe satriany และจ่าก็จะมีเพลงสากลใหม่ๆมานำเสนอให้พวกเราได้ฟังเปิดหูบ้าง และจะมีเพื่อนอีกคนฟังเพลงหนักกว่านี้ประเภท เฮฟวี่เมทัล Black Sabbath,Metalica,Megadeath สองคนนี้เค้าก็จะนำเพลงประเภทนี้มาเกทับกันว่าเจ๋งกว่า ผมเอามาฟังแล้วแก้วหูแทบระเบิด เพราะพี่แกเปิดโวลลุ่ม(เสียง)เกือบสุด(สงสัยจะหูตึง)
ช่วงการเรียนมัธยมปลายนั้นทางโรงเรียนก็จะมีการประกวดวงดนตรีภายในโรงเรียนขึ้นเป็นประจำทุกปี ผมเองก็เล่นดนตรี(คีย์บอร์ด)อยู่ในตอนนั้น ก็ได้ยินข่าวว่าเพื่อนอีกห้องจะคัดตัวนักดนตรีเพื่อรวมวงที่ห้องซ้อมดนตรีเจ้าประจำในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนพรุ่งนี้ จ่าก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกันก็ประมาณว่าจะไปลองดู พอถึงวันนัดหมายจ่าก็บอกว่าทางโรงเรียนประกาศจะคัดตัวนักกีฬาฟุตบอลด้วยเขาก็เลยบอกว่าเสร็จจากนี้ค่อยจะไปห้องซ้อมไม่ต้องรอ หลังเลิกเรียนผมก็ใจจดใจจ่อกับการรวมวงดนตรีครั้งนี้มากเพราะดูท่าทาง(เพื่อนๆ)นักดนตรีแต่ละคนจะฝีมือดี (ย้อนหลังไปเมื่อตอนประกวดปีที่แล้วผมยังอยู่ ม.ต้น วงที่ผมเข้าร่วมนั้นดูไม่ได้เลยครับ กีต้าร์ ๓คน คีย์บอร์ด ๓คน เบส ๑ กลอง ๑ รวม ๘คน เต็มเวทีไปหมด แต่ตกรอบแรก เพราะตอนซ้อมมีแค่ กีต้าร์๑ คีย์บอร์ด๑ เบส๑ กลอง๑ นักร้อง๑ พอขึ้นเวทีไม่รู้หัวหน้าวง(นักร้อง)ไปเอาคนมาเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมไม่ได้ซ้อมด้วย ก็เลยจบเห่) พอถึงเวลานัดผมก็ไปปรากฎตัวที่ห้องซ้อมเจ้าประจำ ปรากฏว่าเพื่อนๆนักดนตรีเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นมือกีต้าร์ คีย์บอร์ดมีมาสองคน(รวมผมด้วย) มือเบสตอนแรกก็ว่าจะเล่นกีต้าร์แต่พอเห็นว่าจะไม่รอด(มีคนฝีมือดีกว่า)ก็เลยเล่นเบสแทน ผมก็มองหาจ่าว่าเมื่อไหร่จะมาก็ไม่เห็นแม้เงา เพื่อนๆก็ลองซ้อมสลับสับเปลี่ยน บางคนก็รู้ตัว หรือเบื่อรอหรือแนวเพลงที่เล่นไม่ตรงกับที่แกะมา หรือแกะมาน้อย((โชคดีที่ผมแกะมาเยอะ)และไม่รู้ว่าจะเอาไงกันต่อก็กลับบ้านก่อน จนกระทั่งเหลือ นักร้อง กีต้าร์สองคน คีย์บอร์ดหนึ่งคน(ผมเอง) เบส และกลอง เรียกได้ว่าซ้อมจนเมื่อย ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน สรุปแล้วก็ได้ก่อตั้งวงขึ้นด้วยสมาชิกที่เหลือนั้น ลงความเห็นว่า ชอบเพลงแนวเดียวกัน และซ้อมอึด การเล่นก็ผิดพลาดน้อย(เนียนๆ) แต่ผมก็เสียดายนะที่จ่าหมองมาไม่ทันไม่เช่นนั้นก็จะมีวงที่มีมือกีต้าร์ฮีโร่สองคนในวงเดียว วันต่อมาจ่าก็ถามว่าตั้งวงได้แล้วเหรอ พอดีวันนั้นคัดตัวนักกีฬาจนมืดก็เลยไม่ได้ไปเสียดายเหมือนกัน ผมก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเย็นนี้เค้าจะซ้อมกันไปดูด้วยกันสิเผื่อยังไงจะได้แจมด้วย ตกเย็นจ่าก็ไปที่ห้องซ้อมกับผม พอถึงเวลาพวกเราก็ซ้อมกันโดยมีจ่ายืนดูอย่างเงียบๆ จ่าเค้าจะมีกฏ กติกา มารยาทมากไม่ก้าวก่าย คือถ้าเป็นบางคนที่เข้ามาดูเนียะก็จะมากดนั่นกดนี่ เสียบนั่นถอดนี่ ประมาณว่าจะขอแจมด้วยให้ได้ แต่จ่าเรากลับนิ่ง รอจนกว่า เพื่อนจะบอก แล้วจ่าก็ได้แจมเข้ากันได้อย่างดี ผมก็เอ่ยปากชวนเข้าร่วมวงด้วยกัน จ่าก็บอกว่าไม่เป็นไร นักดนตรีเยอะเดี๋ยวเต็มเวที ความจริงจ่าไม่อยากสกัดดาวรุ่งเพื่อนมือกีต้าร์ที่มาก่อนแม้ว่าจ่าจะเล่นดีกว่า ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง อีกหลายวันต่อมาได้ยินข่าวว่าจ่าไปรวมวงกับรุ่นน้อง
หลังการประกวดปีแรกทางวงผมก็พักการซ้อมไว้ก่อน(ปกติจะซ้อมรวมวงช่วงมีงานสำคัญๆเช่น กีฬาสี งานวันเด็ก ฯลฯ แต่นักดนตรีต้องแกะ ซ้อม เล่นเองที่บ้าน) ช่วงนั้นก็จะมีการเลือกชมรมต่างๆเพื่อเข้าร่วม ผมกับจ่าก็ได้เข้าร่วมชมรม โฟล์คซอง ตอนนั้นผมก็เล่นกีต้าร์ได้พอประมาณ(จับคอร์ดได้หลายคอร์ด แต่โซโลยังไม่คล่อง) อาจารย์ประจำชมรมก็ให้จับกลุ่ม สองหรือสามคนก็ได้ เล่นเพลงด้วยกีต้าร์โปร่ง แล้วเล่นโชว์ทีละกลุ่ม ผมก็จับกลุ่มสองคนกับจ่าหมองและจุดนี้เองที่ผมได้เห็นอัจฉริยภาพทางดนตรีของเขา ไม่ว่าจะเป็นการแกะคอร์ด แกะโซโล่ แกะการเล่นแบบเกา(ฟิงเกอร์สไตล์) ไม่ว่าเพลงจะช้า จะเร็ว เค้าทำได้อย่างรวดเร็ว และจำได้อย่างขึ้นใจ สำคัญคือเหมือนกับต้นแบบยังไงยังงั้น นับถือ นับถืออย่างยิ่ง และจ่าก็ทำให้ผมเข้าใจคำว่า "กระบี่อยู่ที่ใจ" อย่างลึกซึ้ง เพราะกีต้าร์ที่จ่าเล่นเป็นเพียงกีต้าร์โปร่งเก่าๆ แต่เสียงที่เกิดจากการเล่นของจ่าช่างไม่ธรรมดา ผมก็สงสัยและอยากพิสูจน์จึงลองเล่นกีต้าร์ของจ่าดู ปรากฏว่า ไม่ไหวเสียงไม่น่าฟังและยังห่างไกลจ่าอีกหลายขุม บางเทคนิคการเล่นของจ่าก็ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ทึ่ง เพราะไม่คิดว่าคนเก่งอยู่ไกล้ๆเรานี่เอง เช่น เทคนิคทำเสียงเหมือนใช้คันโยก โดยใช้นิ้วกดที่สายเหนือหย่อง(หมอนรอง)สายด้านบน หรือ ดัน(หัก)คอกีต้าร์เบาๆเพื่อให้เกิดเสียงวูบๆ เรา(ผมกับจ่า)เลือกเพลง"คือเพื่อน"ของวงไฮร็อค และเพลง "One" ของวง Metalica มาทำเป็นเวอร์ชั่นอะคูสติก ก็ได้รับความสนใจจากอาจารย์และเพื่อนร่วมชมรมมากทีเดียว เพราะเพื่อนกลุ่มอื่นๆเค้าจะเอาเพลงแบบตีคอร์ดๆ มาเล่นเลย ไม่ต้องดัดแปลง
พูดถึงวงดนตรีที่ผมเข้าร่วมก็เป็นไปด้วยดีเข้าประกวดก็จะได้ ที่หนึ่งสองสาม ไม่หลุดไปจากนี้ แต่น่าเสียดายที่วงรุ่นน้องที่จ่าหมองเข้าร่วมกลับไม่ค่อยเวิร์คเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะว่าฝีมือห่างกันเกินไป ดูจากการประกวดแล้วยิ่งเสียดายฝีมือจ่า จ่าทิ้งทวนครั้งสุดท้ายในการประกวด ท่อนสุดท้ายของเพลงสุดท้าย โซโล่ยาวเหยียด ดุดัน ร้อนแรง รวดเร็ว โชว์เทคนิค งัดออกมาหมด ขณะที่เพื่อน(รุ่นน้อง)ร่วมวง ตะลึง งงงวย เพราะที่แกะมาไม่มีแบบนี้จึงหยุดเล่น ปล่อยจ่าวาดลวดลายบนสายกีต้าร์อย่างเมามันเพียงผู้เดียว สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

อีกเหตุการณ์หนึ่งก็ทำให้ผมประทับใจไม่รู้ลืม กับประสบการณ์ดนตรีร่วมกับจ่า คือช่วงปิดเทอม ม.ปลาย มีการจัดงานประจำปีกีฬาสีของวิทยาลัยอาชีวะศึกษาประจำจังหวัดซึ่งพี่ชายของจ่าหมองเรียนที่นั่น ที่งานก็จะมีการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ มีประกวดกองเชียร์ พิธีมอบรางวัล วันสุดท้ายก็จะมีงานสปอร์ตไนท์(Sport Night)ในตอนกลางคืนซึ่งจะมีการแสดงต่างๆรวมถึงการแสดงของวงดนตรีด้วย พี่ตุ๊บ(พี่ชายจ่า)ก็มาชวนจ่า จ่าก็มาชวนผมไปเล่นรวมกันเฉพาะกิจ ผมก็ตอบตกลง พร้อมคัดเพลงแกะกันแบบชิวๆเพราะคิดว่าคงไม่ต่างจากการแสดงเวทีอื่นๆ พวกเราก็ซ้อมกันไปเรื่อยๆ จนถึงวันงาน เราก็พบว่า โอ้...นี่มันงานใหญ่มากเลยย จ่าก็บอกว่าเพิ่งรู้เหมือนกัน เวทีใหญ่มากสำหรับเรายืนแบบทิ้งระยะห่างกันมาก แถมมีไฟแสงสีวูบวาบตอนเพลงมันส์ๆอีก ยังกะคอนเสิร์ต คนดูก็มีอารมณ์ร่วมกับคนเล่นบนเวที เค้าคงเหนื่อยมาหลายวันก็เลยปลดปล่อยกันในงานนี้ สำหรับผมสนุกและเซอร์ไพรส์มากๆแม้ไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นตัวเงินแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์และความประทับใจเก็บเป็นความทรงจำ จบงานวันนั้นทุกคนก็แฮปปี้ถ้วนหน้า