lozocatlozocat
"It's my life "
lozocatlozocat

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หากฉันไม่ได้กลับ อย่างน้อยให้เธอหลับสบายก็พอแล้ว...












... " ขอบคุณ และขอบคุณ .. ทุกท่าน ที่ " สละชีพ เพื่อชาติ " .. ขอบคุณด้วยความจริงใจจากหัวใจ .. " พิมพ์ไปก็คิดหาหนทางไป ทำอย่างไร คนตัวเล็กๆไร้ซึ่งอำนาจอย่างเราจะตอบแทนทุกท่านที่เสียสละเพื่อชาติอย่างพวกท่านได้ ... กี่คน กี่ชีวิตแล้ว ที่ตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ที่ประเทศไทย ... รั้ว ของชาติ อาสารักษาดินแดน อาสารักษาความสงบ ฯลฯ จะใช้ชื่อว่าหน่วยงานใดก็แล้วแต่ .. แต่มีหน้าที่ "ปกป้อง รักษาความสงบให้ ชาติ และคนในชาติ(ที่รักชาติบ่างไม่รักบ้าง!) ให้คงอธิปไตย และหลับสบาย" ต้องสูญเสียชีวิตไป หรือไม่ก็พิการ ?????? จริงอย่างเพลงราตรีสวัสดิ์ ขณะที่เราหลายคน เมามาย หลับสบาย ไปช็อบปิ้ง ดูแพนด้า พาควายไปทาสี บลา บลา .... เขาทั้งหลายเหล่านั้น ต้องเสี่ยงชีวิต แบบไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลยว่า " ชีวิต หรือแขนขา หรือลูกตา ฯลฯ จะต้องเสียส่วนไหน "!! พ่อ แม่ พี่น้อง ลูกเมียที่อยู่ห่าง ไม่รู้จะได้รับเสียงบอกความให้น้ำตาท่วม "ตอนไหน!!" เรื่องความไม่สงบทางภาคใต้ นับวันยิ่งร้ายแรงเกินทำใจ คนที่ทำ คนที่ก่อเหตุร้าย คง "ไม่มีหัวใจ" แน่จริงๆ ... .. ไม่ว่า จะเป็น สามจังหวัดชายแดนใต้ หรือ ตะเข็บชายแดนภาคไหนๆ .. .. ไม่ว่า จะเป็น ท่านที่สละชีพแล้ว สิ้นแล้วซึ่ง ลมหายใจ หรือ ท่านที่พิการ และท่านที่ยังต้องอยู่ระแวดระวังภัยให้พวกเราในปัจจุบัน !!! .... {{{>> ขอบคุณ มากมาย และ ส่ง ใจ ใจ ใจ ใจ มอบให้ ทุกท่าน ด้วยความเคารพ และ ศรัทธา <<}}} ชวน ร่วมกันสร้างกุศลและช่วยทหารหาญ ที่ประจำการอยู่ในทั้ง 3 จังหวัดทางภาคใต้ของไทยเรา คุณกอล์ฟ เคยบอกว่ารายได้ทั้งหมดมอบให้ทหารทั้งหมด (หักค่าบริการที่ต้องจ่ายกับทางระบบ) " ร่วมบริจาคเงินเข้ากองทุน "ผู้กองแคน" โทร * 492282 ครั้งละ 40 บาท จะได้เพลง "ราตรีสวัสดิ์"ตอบแทนน้ำใจจากพวกเรา ก้านคอคลับนะครับ ขอบพระคุณครับ" ( จาก twitter : JoeyBoy) หมายเหตุ: โหลดได้ทุกเครือข่าย โครงการ "Good Night คนไทยฝันดี" รายได้เข้ากองทุนผู้กองแคน 5 องศา 37 ลิปดา = จังหวัดยะลา (จุดใต้สุด : พื้นที่อำเภอเบตง จ.ยะลา ละติจูดที่ 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ และลองจิจูด 101 องศา 08 ลิปดาตะวัน) + ขอรวมไปถึง นราธิวาส ปัตตานี ด้วย + http://www.youtube.com/watch?v=c3ToupoNa1U








































































































































































































































































































































































































































































วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จะหวั่นใจ...ดีไม๊เนียะ..

จะว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือบุญพาวาสนาส่ง ก็แล้วแต่ หรือจะเรียกว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระก็ว่ากันไป.... ครั้งนี้เหมือนคนเบื้องบนเล่นตลกกับชีวิตผมอีกแล้วหรือ จะว่าไปก็น่าจะเป็นคนเบื้องล่าง เพราะไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือเพื่อนผมนี่เอง เพื่อนที่ยังคบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะนานๆทีเจอกันหรือได้ข่าว หรือไม่ได้ข่าว หรือรู้ข่าวทีหลัง ก็ไม่ว่ากัน เพราะเข้าใจว่าทุกคนย่อมมีพื้นที่ส่วนตัวกัน และมีเหตุผลที่จะบอกอะไรกับเรา หรือไม่บอกก็ได้ เป็นสิทธิของเค้า ผมเคยได้ยินหลายคนบอกผมว่า คบเพื่อนยังไงไม่รู้เรื่องความเป็นมาเป็นไป ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าการคบเพื่อนสักคน คงไม่ต้องถึงกับเกาะติดทุกสถานการณ์ ปล่อยให้เค้าได้มีความเป็นส่วนตัวบ้าง ถ้าเค้าไม่ไหวจริงๆ เค้าก็จะต้องบอกเราแล้วหละ ผมว่างั้นนะ ผมไม่เคยคิดเคืองนะ เพื่อนคนไหนที่ไม่เคยเจอกันเลย แต่พอได้พบกันแบบบังเอิญ ก็ทักทายปราศรัยกัน ก็เป็นมุมที่ผมได้มองต่างออกไป ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผมก็ไม่ค่อยซีเรียสกับตรงนี้ อาจเพราะอย่างนี้ ผมก็เลยเป็นคนที่เพื่อนค่อนข้างน้อย แต่ก็รักกันคบหากันมาโดยตลอด

และครั้งนี้ เพื่อนก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยอีกครั้ง เหมือนถูกหวย....ไม่ใช่หมายความว่าถูกหวยเพราะเพิ่งจะมาช่วยนะครับ การฃ่วยเหลือก็มีมาตลอดแต่ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ผมต้องการเป็นงานที่ตรงใจ และผมดิ้นรนมาเกือบครึ่งชีวิต เพื่อที่จะได้ทำงานแบบนี้ แต่ก็ไม่เป็นผลสักที พอเพื่อนคนนี้เสนองานมาก็โดนใจแทบกระโดดตัวลอย บอกแฟนช่วยหยิกแขน ตบหน้า เพื่อจะได้รู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป....ความสุขมันอยู่ที่ไหน......ได้ทำสิ่งที่เราชอบและมีรายได้ แค่นี้ผมก็ว่าสุขแล้ว และก็ดูเหมือนว่า มันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับผมมันต้องแลกกับอะไรบางอย่าง หลายๆอย่าง

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขยับตัว...

ขยับตัวนี้ คงอาจจะรวมถึงการมาอัพเดทบล็อกนี้ด้วย นานมากทีเดียวที่เกือบลืมไปแล้วว่าเรายังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำต่อ เรื่องราวความเข้มข้นของชีวิต.....ผมกลับมาอยู่อุดร และคิดว่าการกลับมาครั้งนี้คงจะไม่ไปไหนอีก... เพราะถ้าจะไปไหนอีกนั่นก็คงหมายถึง ชีวิตผมคงจะหาแก่นสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว ผมยังโชคดีหลายๆเรื่อง และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมยังได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน..ผู้มีพระคุณ...และคนรอบข้าง

กลับมาครั้งนี้.....แม่ดูซูบผอมลง เห็นบอกว่าเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาลดไขมันในผู้ป่วยเบาหวาน แต่กระนั้นแม่ก็ยังคงมีรอยยิ้มทุกครั้งที่เห็นลูกชายคนนี้กลับไปถึงบ้าน และครั้งนี้ก็จะดูมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะท่านรู้สึกว่า ตั้งแต่ยายเสียไป ก็ไม่เห็นใครที่จะดูเป็นห่วงเป็นใยความเป็นไปในบ้านเท่าที่ควร เพราะพี่สาวก็ทำงานนอกบ้าน นานๆถึงจะกลับ งานบ้านงานเรือนจึงตกอยู่ที่ท่านเพียงคนเดียว เพราะบ้านเราไม่มีคนใช้ที่จะคอยปัดกวาดเช็ดถู ล้างจาน ทำกับข้าว ถ้าไม่มีคนทำก็ต้องทำเองหรือไม่ก็ซื้อ..... ถ้าหลานๆลูกๆไม่ช่วยแล้ว ท่านก็คงต้องทำเอง ซึ่งคงจะไม่ไหว ผมจึงเป็นตัวแปรที่จะทำให้ปัญหานี้หมดไป เพราะผมเองก็อยู่กรุงเทพนานพอสมควรจึงไม่ได้ดูแลท่านอย่างชิดไกล้ ตอนนี้จึงเป็นโอกาสอันเหมาะที่จะได้ทำหน้าที่ลูกอีกครั้ง

พ่อท่านดูแข็งแรงน้อยลง เพราะความชราภาพ ท่านดูจะเครียดน้อยลง เนื่องด้วยการเข้าไปรับใช้พระศาสนา ได้พบปะผู้คนได้ช่วยเหลือผู้คน ท่านเองก็ดูดีใจที่ผมกลับมาแม้ท่านจะไม่พูดผมก็สังเกตเห็นจากรอยยิ้มและการพูดคุย ท่านคงจะไม่ใส่ใจกับเรื่องที่ผมทำให้ท่านต้องผิดหวังเมื่อสิบปีก่อน เพราะท่านต้องยอมรับมันแล้วเริ่มทำสิ่งใหม่ไปข้างหน้า เพราะแม้เราจะพูดถึงอดีตถึงสิบ ถึงร้อยครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้อนาคตดีได้ ถ้าเราไม่ทบทวนความผิดพลาด แล้วแก้ใข

เพื่อน....หลายๆคนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ยังมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำแนะนำ และกำลังใจ แม้ในหน้าที่การงาน การดำเนินชีวิตอาจจะไม่ราบเรียบนัก ก็ขอให้ผลบุญนี้กลับคืนไปสู่ทุกท่าน ขอให้มีชีวิตที่มีปัญหาน้อยที่สุด และประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้...........

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

เป็นอะไรมากไม๊...ชีวิตนี้

สองสามวันที่แล้วมานี้ ตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกปวดหัว ต้นคอ อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนก่อนดื่มไวน์(สปาย) 2 ขวดแบบครึ้มอกครึ้มใจ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ดื่มบ่อยๆสักเท่าไหร่ อาการคออ่อนจึงกำเริบ แต่ช่างมันเถอะ ดื่มน้ำมากๆ ปัสสาวะบ่อยๆก็ดีขึ้นเอง สำคัญต้องกินข้าว บางคนบอกว่าเวลาแฮงก์กินข้าวไม่ลง อันนี้จากประสพการณ์ตรงของผมเลยนะ ว่าแฮงก์แล้วต้องกินข้าว ไม่งั้นฟื้นยากครับ ผมเคยแฮงก์แล้วไม่กินข้าว นอนจม ตื่นตอนเย็นก็ยังไม่หาย แต่ถ้ากินข้าว กินน้ำ ไม่นานก็หาย ยืนยันครับ


การปวดหัวจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังพอรักษาบรรเทาลงได้ถ้าเข้าใจระบบร่างกาย แต่พอหายจากปวดหัว(แฮงก์)ก็ยังมีเรื่องราวอีกหลายๆอย่างมาทำให้ปวดหัวอยู่ดี ฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นผมก็จะพยายามไม่ดื่ม หรือถ้าจะดื่มก็ดื่มให้น้อย(สังขารไม่ให้) กับอีกเรื่องที่ทำให้ปวดหัวอยู่ ก็คือเรื่องแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดไม่สบาย พ่อโทรมาบอกเมื่อวันก่อน ปกติพ่อจะไม่โทรมาถ้าไม่จำเป็น แม้โทรมาก็จะพูดแต่เนื้อๆเน้นๆไม่เอาน้ำ พ่อเองก็ไม่สบายเหมือนกัน เป็นโรคความดัน เวลาที่ท่านพักผ่อนน้อยอาการก็จะกำเริบ และท่านก็ต้องดูแลแม่เพราะพี่ๆก็ต่างมีงานทำ(ต้องพักผ่อน) เวลานอน(พ่อ)ก็จะนอนไม่เต็มที่เพราะแม่จะตื่นบ่อยๆ แม่เป็นเบาหวานกลางคืนก็ต้องคอยดูแลว่า น้ำตาลจะขึ้นหรือจะลดต้องแก้ไขให้ถูก และผู้ป่วยเบาหวานก็จะปัสสาวะบ่อย เวลากินข้าวก็ต้องจำกัดรสชาด คือไม่ให้หวานมาก เค็มมาก พ่อก็ดูแลแม่มานานแล้ว ท่านก็คงเหนื่อยเพราะท่านก็ชรามากแล้ว ผมซึ่งเป็นคนสามัญประจำบ้าน(ที่กรุงเทพมหานคร)ก็จำต้องกล้บไปดูแลท่าน แต่ผมเองก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย ภรรยาและลูกก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่ภรรยาผมคงจะไปด้วยไม่ได้เพราะว่ายังมีธุรกิจที่กรุงเทพ คงต้องแยกกันอยู่อีกครั้งหลังจากที่แยกกันไปครั้งหนึ่งแล้วและเพิ่งจะกลับมาอยู่ด้วยกันปีกว่า ผมคงจะปวดหัวเพราะห่วงหลายอย่าง ภรรยา ลูก แม่ก็ห่วง ก็เกิดคำถามขึ้นในใจทำไมผมถึงต้องเป็นแบบนี้ ต้องเลือกสิ่งที่มีค่าไกล้เคียงกันแต่เลือกได้อย่างเดียวและก็ให้เวลาเพียงนิดเดียว ผมคงเป็นคนมีกรรม พักนี้ลูกชายก็ซนผิดปกติ ไม่ได้อะไรดังใจก็จะวีนจะร้องโวยวาย ข้าวปลาก็ไม่ค่อยจะกิน นอนก็ไม่ค่อยนอน ทำร้ายร่างกายคนอื่น และก็ทำร้ายตัวเอง จนยายชักจะไม่ไหวกับพฤติกรรมนี้ออกปากบ่น ผมก็ทำอะไรไม่ถูกคิดหลายๆเรื่องแล้วก็ปวดหัว ต้องตั้งสติๆๆๆๆ เรื่องร้ายๆผ่านเข้า ไม่นานก็จะผ่านไป สิ่งดีๆก็คงจะเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง.........

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กาลครั้งหนึ่ง...เดอะสตาร์...สุขุมวิท21

เขียนถึงเรื่องลุ้นๆแล้วก็ นึกไปถึงเมื่อหลายปีก่อนโน้นนนนนน.... ใครสักกี่คนจะรู้ว่า กาลครั้งหนึ่งผมได้เคยไปสมัครประกวดเดอะสตาร์กับเค้าด้วยเหมือนกัน(รุ่นแรกที่คุณสนได้เป็นเดอะสตาร์คนแรก) คงไม่ใช่อะไรมาดลใจผมให้ไปเข้าร่วมประกวดกะเขา แต่เป็นเพียงความตั้งใจเล็กๆของผู้ชายคนหนึ่งที่พอจะเป็นอีกหนทางที่จะผลักดันตนเองให้เป็นศิลปินแห่งค่ายยักษ์ใหญ่(จีดับเบิ้ลเอ็ม) เมื่อเห็นข่าวการประกาศรับสมัครทางทีวี ก็ทำให้หัวใจของผมพองโต สูบฉีดเลือดทั่วร่างกาย เพราะเห็นทาง(สวรรค์)ได้เปิดอ้าแขนรับคนธรรมดาสามัญให้ได้เป็นนักร้องดังแล้วววว....
ผมก็ได้ตัดสินใจบอกแฟนว่า "พี่ต้องลองดูสักตั้ง" ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีเสียงที่โดดเด่นอะไรมากมาย แค่ร้องไม่เพี้ยนคีย์ ไม่คร่อมจังหวะ ก็คงจะพอสู้เค้าได้ แม้ปกติผมจะเป็นคนขี้อายก็ยังดันทุรังดั้นด้นไปที่สุขุมวิท21 ทั้งๆที่บ้านอยู่บางแค ในใจก็คิดว่า "อย่างน้อยก็ได้เก็บเป็นประสบการณ์ที่ดี ว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ เรื่องที่ว่าจะสำเร็จได้เป็นนักร้องหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องสุดแท้แต่วาสนา" เพราะถ้ารอปีถัดไปก็จะหมดโอกาส อายุเกิน(เค้ารับไม่เกิน 30ปี)
และแล้วประสบการณ์ที่ดีๆก็ได้เกิดขึ้นกับผม การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของชายวัย 30 ได้เกิดขึ้นแล้วววว.... เช้ามืดผมได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความตั้งใจอย่างแรงกล้า ดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งศรัทธา ผมเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว อาบน้ำแต่งตัวแบบให้ดูดีเท่าที่จะทำได้ แฟนก็ช่วยอีกแรง พอเรียบร้อยก็ใช้บริการ ขสมก.เดินทางไปยังตึกรับสมัคร สุขุมวิท21 ตึกใหญ่ของค่ายยักษ์เมื่อไปถึงตัวผมก็ดูเล็กลงอย่างถนัดตา ช่วงเช้าผู้คนยังบางตาเพราะยังเช้าอยู่ ผมรีบแวะหาข้าวปลากิน พออิ่มท้องแล้วก็กลับมาที่ตึกเพื่อเข้าสมัคร คราวนี้ผู้คน มากมายเข้าคิวแถวยาวเหยียด ผมจึงรีบวิ่งไปขอแบบฟอร์มการรับสมัครเพื่อที่จะมากรอก แต่ผมเห็นแถวยาวมากแล้วเมื่อได้แบบฟอร์มก็รีบวิ่งไปต่อแถวทันทีแล้วก็ยืนกรอกไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อกรอกแบบฟอร์ม ติดรูปถ่าย เสร็จเรียบร้อย รออีกสักพักก็ถึงคิวของผม ตรวจเอกสารเรียบร้อยอีกรอบแล้วก็ยื่นใบสมัคร จากนั้นก็ออกมารอในบริเวณไกล้ๆ พร้อมเพื่อนๆผู้สมัคร ก็จะมีการพูดคุยกัน สักพักก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาแจ้งว่า ช่วงบ่ายให้มาดูรายชื่อลำดับ ที่จะเข้าไปร้องเพลงในรอบคัดเลือก ระหว่างนั้นผมก็ได้รู้จักพูดคุยกับน้องๆผู้สมัครอยู่หลายคนทีเดียว
"พี่...มาร้องเพลงใครอ่ะ.."
"พลพล คนไม่สำคัญ...แล้วเราหละร้องเพลงใคร.."
"...ผมยังนึกไม่ออกเลยครับพี่...."
อีกคนสวนขึ้นมา "ผมจะร้องเพลงสากล..." แล้วน้องท่านก็ร้องออกมาให้ฟัง ด้วยพาวเวอร์ล้วนๆ และได้ยินว่าเล่นกีต้าร์เป็นด้วย
"อืมมมม...เสียงดีนิร้องสากลได้น่าจะไปเล่นตามร้าน.." ผมก็ว่าไป
"ผมก็เคยเล่นนะพี่...แต่ได้ยินข่าวก็เลยมาสมัครดู..."
น้องอีกคนพูดขึ้น"พี่ทำงานอะไรอยู่เหรอ....ถึงได้มาสมัคร"
"ก็ซ้อมเพลงเล่นกีต้าร์ แล้วก็หาร้านลงเล่นอ่ะ... แต่ยังไม่ได้พอดีได้ยินข่าวแล้วก็เลยมาลองดู...."
"น้องยังเรียนอยู่หรือเปล่า...."
"ช่ายครับ...อีกเทอมนึงก็จบแล้ว..อยากหางานทำ.."
"คิดไงถึงมาสมัครหละ....." ผมถาม
"แหมพี่.....ใครๆก็อยากเข้าจีดับเบิ้ลเอ็มทั้งนั้นแหละ...พี่ว่ามะ..."
"แล้ว..เรียนสาขาอะไรอยู่หละตอนนี้.."
"ผมให้พี่ทายอ่ะ........"
"พวกช่างอะไรประมาณนี้หรือเปล่า... " ผมเดา
"โหพี่...ทำไมเหรอ หน้าผมให้เหรอ...."
"แล้วใช่ไม๊หละ....." ผมย้อน
"ช่ายพี่....ตาถึง..." ผมจบการสนทนาแล้วชวนกันไปกินข้าวเที่ยงก่อนที่จะมาดูลำดับรายชื่อ
ไอ้น้องคนนี้ปัจจุบันเป็นนักแสดงสมทบของช่อง3 ผมเห็นเค้าเล่นหลายเรื่องแล้วและก็จำได้ ยังคิดอยู่เลยว่า เค้าก็สู้ของเค้าแม้ไม่เป็นนักร้อง ก็เป็นนักแสดงก็ได้ ขอให้อยู่ในวงการบันเทิง ผมเชื่อว่าไม่นานหรอกเค้าก็คงไปถึงฝัน

ตัดมาที่บรรยากาศเดอะสตาร์ หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเป็นที่เรียบร้อย ก็กลับไปที่ตึกจีดับเบิ้ลเอ็มเพื่อเช็คดูว่าตัวเองอยู่ลำดับที่เท่าไร แล้วก็ไปต่อแถวกับผู้สมัครอื่นๆ บรรยากาศตอนนั้น เต็มไปด้วยผู้สมัคร แถวซึ่งคดไปคดมา การรอคอย ยืนก็แล้ว นั่งก็แล้ว บางคนออกไปซื้อของกินกลับมาก็ยังไม่ถึงคิว ช่วงนั้นก็มีน้องคนหนึ่งเดินมาคุยด้วย
"พี่ก็เล่นกีต้าร์ ออดิชั่นตามร้านเหมือนกันเหรอ..."
"ช่าย....แต่พี่ต้องซ้อมนะ เพราะจะได้มั่นใจเวลาขึ้นเล่น.."
"ผมก็เล่นเหมือนกัน...แต่เป็นกีต้าร์โปร่งนะ...ก็เล่นเพลงไทยบ้าง สากลบ้าง..."
"วันนี้ผมก็จะร้องเพลงสากล.."
"ดี...ลุยเลย.." ผมเสริม น้องคนนี้ได้เข้าไปร้องก่อนผมและก็กลับก่อน

วันนั้น ผมตั้งใจว่าจะร้อง เพลง คนไม่สำคัญ ของ พลพล แต่แล้ว พอใกล้จะถึงคิว ก็มีกระแสข่าวจากผู้เข้าประกวดว่า ให้ร้องเพลงอะไรก็ได้ ท่อนใดก็ได้ ที่คิดว่าร้องแล้วดูดีที่สุด เพราะเค้าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีในการร้อง ผมจึงเริ่มลังเล คิดว่าเพลง คนไม่สำคัญ ของพลพล ฟังแล้วดูเรียบไป ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเพลงเป็น เพลง เหตุผล ของแบล็คเฮด และก็ซ้อม ท่องกันสดๆตรงนั้น น้องๆบางคนก็ลังเล บางคนก็มาถามว่า จะร้องเพลงของค่ายอื่นได้หรือเปล่า เพราะว่าเสียงเค้าจะเหมาะสมมากกว่า ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี แต่ในทัศนคติของผมคิดว่า การที่เราไปประกวดร้องเพลงแล้วค่ายไหนเป็นคนจัด เราก็น่าที่จะเอาเพลงของค่ายนั้นๆมาร้องก็น่าจะดีกว่า ถือเป็นการให้เกีรยติค่ายเค้าด้วย

และแล้วช่วงเวลาแห่งความระทึกใจ ก็มาถึง เมื่อถึงคิวผมที่จะต้องไปร้องเพลงให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฟังในรอบคัดเลือก ตอนนั้นผมค่อนข้างจะประหม่าและตื่นเต้นพอสมควร กลัวร้องผิด กลัวปล่อยไก่ แล้วก็เกิดอาการสั่น เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกหมายเลขของผม ผมก็เดินตัวปลิวไปด้วยความสั่น ยื่นมือรับไมค์จากเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง และหันหน้าไปทางคณะกรรมการพร้อมด้วยการส่งยิ้มแบบสั่นๆ เดินไปตรงกลางห้อง ขาเจ้ากรรมขวิดกันจนเกือบล้ม มีเสียงแซวจากคณะกรรมการว่า ใจเย็นๆน้อง พร้อมกับหัวเราะกันครืน ผมก็พยายามตั้งสติ รวบรวมสมาธิแล้วร้องเพลงออกมา "..แค่อยากให้รู้ไว้...ว่าฉันรักไม่เคยรักใคร....เท่าเธอ... เก็บเอาไปนอนเพ้อ...เพราะคิดถึงเธอ...คนเดียว...รู้ไหม..." เสร็จแล้วผมก็เดินออกมา พร้อมกับใบแจ้งกำหนดการรับฟังผลการคัดเลือกรอบแรกในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเค้าจะเอามาติดไว้ที่หน้าตึก แล้วผมก็เดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกสองอย่างคือ เสียใจ วันนั้นการแสดงออกของผมไม่ดีเลย ประหม่า ตื่นเต้นเกินไป คงไม่เข้าตากรรมการอย่างแน่นอน แต่ผมก็รู้สึกดีใจและภูมิใจนะ...ที่เรากล้าที่ลองเข้าไปเกี่ยวความฝันได้ลองเพื่อสิ่งที่รัก แม้ว่า......ผมจะไม่ผ่านรอบคัดเลือก

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ช่วงนี้มีลุ้น...

พักนี้เป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ มันเบื่อๆหน่ายๆ หลังจากได้ลุ้นว่าตัวเองจะได้เป็นโรคที่ทันสมัยในยุคนี้(ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่2009)หรือเปล่าก็ไม่ลุ้นแล้ว เพราะแถวบ้านไม่เห็นใครเขากระตือรือล้นที่จะสวมหน้ากากป้องกันกันบ้างเลย ช่างไม่กลัวบ้างเลย หลังจากสังเกตอาการตัวเองและโทรถามผู้รู้ ติดตามข่าวสาร และกินยาตามอาการ อาการก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ และสุดท้ายก็หายกลับเป็นปรกติ แต่ก็ยังระวังรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ....
จบจากเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ก็มาลงมือทำงานต่อครับแต่ใครจะคาดเดาเหตุการณ์ต่อไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผมได้พบเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนสถาบันวิชาชีพด้วยกัน และเคยทำงานในหน่วยงานเดียวกัน แต่เนื่องด้วยความไฟแรงของผมและปัญหาความไม่ลงตัวบางอย่างทำให้ผมต้องหันหลังให้กับงานนี้ ผมจากหน่วยงานนี้มาได้ประมาณเกือบ 8ปี เพื่อนยังไงก็ยังคงเป็นเพื่อน สุขทุกข์ปนเปเรื่องราวเล่าขานในยามที่ไม่ได้เห็นกัน สุดท้ายก็วกเข้ามาถึงเรื่องการงานหน้าที่ ซึ่งตอนนี้เพื่อนๆร่วมวิชาชีพเหล่านี้ต่างก็ไปกันได้ดี นึกถึงตัวเองแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ เพื่อนก็คงเห็นใจเพื่อนจึงชวนให้ทำเรื่องกลับเข้าทำงานอีกครั้ง เพราะเคสของผมเป็นการ"ลาออก" ไม่ใช่"ให้ออก"หรือ "ไล่ออก" ดังนั้นจึงน่าที่จะกลับเข้าทำงานได้ เพื่อนว่า และก็เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งลาออกมานานแล้วก็กลับเข้าใหม่ได้ เฮ้ออออออ จะมีหวังหรือผมนึกในใจ เพื่อนก็อุตส่าห์ให้กำลังใจ เอาน่า ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ยังไงก็ยื่นเรื่องไว้ก่อน เพื่อนๆก็อาจจะช่วยได้อีกแรง เอาวะ.....ยังไงต้องลองสักตั้ง เพื่อนๆเค้าก็ทั้งผลักทั้งดันแล้วนิ อย่างน้อยก็มีเรื่องไว้ลุ้นในใจ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเรามันคนสามัญประจำบ้านอยู่แล้วนิ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หวัดใหญ่2009

หลายวันมานี้ผมรู้สึกเพลียๆกายใจยังไงชอบกล คงจะเป็นเพราะว่า นอนดึกติดต่อกันหลายวัน เพื่อเร่งงานด่วนให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้ .......

และแล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาเยือนผมจนได้ ผมเริ่มปวดหัว ต้นคอ หลัง ตา เจ็บคอ เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เพราะช่วงนี้มีข่าวการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ผมยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะได้ยินข่าวว่าตรวจทีต้องเสียค่าตรวจหลายตังค์ คงต้องทำใจยอมรับสภาพเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราก็มีอยู่แค่นี้จะเร็วจะช้าก็ต้องได้เจอกันทุกคน แม้แต่ราชาเพลงป๊อบ ไมเคิล แจ็คสัน(Micheal Jackson) ก็ยังหนีไม่พ้น พักนี้คนดัง ดารา ก็ได้จากไปหลายคน ส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยสาเหตุโรคภัยไข้เจ็บ....

มีคนเคยบอกว่า ถ้าเราตายไปแล้วก็เหมือนกับพ้นทุกข์ คือหมดเวรหมดกรรม ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ผมเจ็บคอมาเป็นอาทิตย์แล้ว สองวันก่อนอาการดีขึ้น แต่เช้าวันนี้สิกลับเจ็บขึ้นมาอีกและมีเสลดมาจุกอยู่ที่คอตลอด กลืนน้ำก็ลำบาก ปวดหัว ผมใช้ยาบรรเทาปวดซาร่า ก็ช่วยได้บ้าง ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นไม่ค่อยปวดหัวแล้ว อาจเพราะฤทธิ์ยาหรือว่าอาการดีขึ้น ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้เป็นเลยไข้หวัด2009 ครั้งนี้ผมขอตกเทรนด์ หล้าสมัย เชย ก็ยอม เพราะผมยังไม่อยากไปก่อนวัยอันควรถ้าขอผลัดผ่อนได้ผมขออีกสัก สิบปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ ผมว่าเวรกรรมผมยังไม่หมดแค่นี้ขอให้ผมได้อยู่ชดใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดเสียทีก่อน ถ้าไปตอนนี้ผมคงตาไม่หลับแน่ เพราะยังห่วงหลายอย่างลูกชายก็ยังเล็กแถมเป็นเด็กพิเศษด้วยใครจะคอยดูแล....

หวัดสองพันเก้าตอนที่เข้ามาใหม่ๆเห็นท่านผู้ใหญ่เค้าบอกว่าไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะไม่ได้ติดกันง่ายๆ ขอเพียง สวมหน้ากาก(ปิดจมูกปาก) ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา แคะขี้มูก และสัมผัสสิ่งของ(ใช้)ร่วมกัน แต่หลังจากนั้น ผมดูข่าวในทีวีกลับพบว่า มีผู้ติดเชื้อหวัด2009นี้เพิ่มขึ้นทุกวัน วันละหลายๆคน นอกจากนี้ก็ยังมีคนป่วยที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ผมว่าเรานิ่งนอนใจไม่ได้แล้วหละด้วยความเป็นห่วงทางบ้าน ก็เลยโทรไปถามข่าวที่บ้านต่างจังหวัด เค้าก็บอกเป็นกันหลายคน แต่ก็ดูเค้าไม่ค่อยตื่นตระหนกมากนัก แต่วันนี้ผมกลับมาเป็นเสียเอง(ยังไม่ได้ไปตรวจ)......

สองพันเก้าเอ๋ย
จงผ่านเลยอย่างฝันร้าย
อย่าได้กรายกร้ำติดชีวิตข้า
ลูกยังเล็กเป็นเด็กพิเศษใครเมตตา
ขอให้ข้าพาเขาไปในทางดี
ปีนี้โลกเป็นอย่างไรเป็นไปก่อน
โลกจะร้อนหรือจะหนาวเราไม่หนี
แต่เจ้าเอย สองพันเก้า เอาไปที
อย่าได้มีมาพรากข้าจากจร......
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ....

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เดท....ครั้งแรก

คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง คำกล่าวนี้อาจจะใช้ไม่ได้ทุกโอกาสเสมอไป โดยเฉพาะกับคนที่ไม่หล่อ แถมคารมก็ไม่สู้ดีนักอย่างผม จึงไม่ค่อยได้เห็นภาพผมควงคู่สาวที่ไหน วันๆก็จะทำงาน พบปะก็เฉพาะลูกค้าที่มาติดต่องาน เพื่อนร่วมงานก็มีแฟนแล้ว เห็นเค้ามากันเป็นคู่ๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเราช่างไม่มีใคร ช่างเหงาซะเหลือเกิน ข้าวเย็นก็กินคนเดียว เดินห้างก็เดินคนเดียว เพราะเพื่อนๆเค้าพักอยู่ไกลเดินทางกันนานกว่าจะไปถึงก็ค่อนวัน นานๆไปทีก็พอไหว ขากลับกว่าก็จะถึง ช่วงนั้นก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือทำให้ติดต่อกันยาก

แต่แล้วโลกก็ได้หมุนให้ผมได้มาเจอกันกับสาวคนนี้ ที่มีชื่อว่า "น้องอ้อม" น้องอ้อม ตากลมผมยาว เป็นเพื่อนของลูกค้าที่มาติดต่องานกับผม ก็จะเจอกันเป็นประจำ มองไปมองมาก็รู้สึกว่า น่ารักดี อัธยาศัยดี พูดดี ดูเป็นผู้ใหญ่ อะไรก็ดูดีไปหมด แล้วผมก็แอบถามข้อมูลจากเพื่อนเค้าก็ทราบอีกว่าเค้าเป็นหัวหน้าคิวซี ของบริษัท ผมก็ถึงบางอ้อว่า มิน่าเล่า ถึงได้ดูดีขนาดนั้น ซึ่งต่างจากผมมาก(แค่พนักงานรัฐวิสาหกิจ ระดับปฏิบัติการ) ด้วยเหตุว่า ผมมักจะถามเพื่อนเค้าบ่อยๆเวลาที่มาติดต่องาน เพื่อนเค้าก็เลยรู้ว่าแอบสนใจน้องอ้อมอยู่ ก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์มา "สนใจอ้อมเหรอ.." "..อืมม..น่ารักดีนะ..." "เอาเบอร์ไปสิ...เค้าก็สนใจพี่เหมือนกันนะ.." ผมก็ได้แต่ยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าอำหรือเปล่า แต่ก็รับเบอร์โทรมา

ด้วยความที่ไม่เคยจีบใครเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ผมไม่กล้ากดเบอร์โทรไปหาน้องอ้อมสักที เพราะกลัวว่าพูดผิดเดี๋ยวเป็นเรื่อง จนกระทั่งหลายวันต่อมา เค้าก็มาติดต่องานกับเพื่อนอีกครั้ง ก็เห็นแล้วว่าน้องเค้ายิ้มมาแต่ไกล ผมก็ทั้งตื่นเต้นทั้งแปลกใจ ดีใจ ทำอะไรไม่ถูก ก็ได้แต่ยิ้มตอบ จะทักก็ไม่กล้าทัก เพื่อนน้องอ้อมก็ไปติดต่องานที่ช่องอื่นปล่อยให้น้องอ้อมเดินตรงรี่มาที่ช่องผม "พี่...ไม่เห็นโทรหาเลย..." น้องอ้อมเอ่ย พร้อมด้วยรอยยิ้มหวานๆ "เอ่อ...พอดีช่วงนี้งานยุ่งๆนะครับ.." ผมก็อ้อมแอ้มแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆด้วยความเขิน "เหรอค่ะ...ว่างเมื่อไหร่ก็โทรได้นะค่ะ..." เราคุยกันได้สักพัก เพื่อนน้องอ้อมก็มาเรียก เพราะเสร็จธุระแล้ว ก่อนกลับน้องอ้อมก็ทิ้งรูปไว้ให้ดูต่างหน้า พร้อมข้อความด้านหลัง "พี่...น่ารักมาก..." ผมงี้ยิ้มหน้าบาน โอ้...ช่างเป็นวันที่สดใส หัวใจพองโตเสียยิ่งกระไร

ตกเย็นหลังเลิกงานวันนั้น ผมก็รวบรวมความกล้าเท่าที่ติดตัวมาจากบรรพบุรุษ ต่อโทรศัพท์ไปหาน้องอ้อม ตุ๊ด..ตุ๊ด...ตุ๊ดๆๆ
"สวัสดีครับ.."
"สวัสดีค่ะ..."
"ขอ..สายน้องอ้อมครับ.."
"พี่เหรอ.....ดีใจจัง"
แล้วเราก็สนทนากันไป ช่วงไหนว่างก็จะโทรหา แต่เรื่องทีคุยก็เริ่มน้อยลงๆ เพราะผมเองก็คุยไม่ค่อยเก่ง จะจีบเลยก็ไม่กล้า กลัวเค้าจะเลิกคบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว
"พี่...วันอาทิตย์นี้ว่างไม๊..."
"ครับ...ก็พอว่างครับ.."
"ไปดูหนังกันไม๊..." น้องอ้อมชวน (ดู่...ดู้...ดู ให้สาวเอ่ยปากชวนไปดูหนัง นึกขึ้นตอนไหนก็อายตอนนั้น) ผมก็คิดอยู่ตั้งนาน เพราะตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่เคยเฉียดเข้าไปไกล้โรงหนังสักที ซื้อตั๋วก็ไม่เป็น แต่ก็....
"ได้ครับ.....ดูเรื่องอะไรหละครับ..." แต่ตอนนั้นสมองปั่นป่วนมาก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดหละวะ จะไปถามใครก็อาย ว่าดูหนังยังไง ซื้อตั๋วไม่เป็น ก็คนไม่เคยนิ

แล้วก็ถึงวันนั้น น้องอ้อมยังคงน่ารักเหมือนเคย ส่วนผมก็พยายามเต็มที่(ไม่รู้ว่าเป็นไง)แต่ก็ไม่ต่างจากชุดฟอร์มทำงาน เป็นการออกเดทแบบงงๆ(ของผม)ผสมความง่วง เพราะเมื่อคืน ซ้อมดนตรีกับเพื่อนจนดึก แต่ก็สู้(โว้ย) น้องอ้อมก็คง งงๆด้วยเช่นกัน ที่เห็นท่าทางผมอย่างนั้น คือทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนที่เพิ่งเคยเข้าโรงหนังครั้งแรก ก็เลยชวนกินอะไรรองท้องก่อน แล้วเค้าก็ไปซื้อตั๋วให้(น่าอายไม๊...เนี่ยะ) แล้วก็เข้าไปในโรงหนัง หนังก็เริ่มฉายไปสักพัก ด้วยความง่วงประกอบกับกินข้าวอิ่มท้อง ก็เลยเข้าตำรา "หนังท้องตึง..หนังตาหย่อน" ผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่ง "พี่...หนังจบแล้ว" ผมก็สะดุ้งตื่น งัวเงีย งงๆ เห็นน้องอ้อม หน้าตาไม่ค่อยดูดี ก็เลยแก้ตัวไป ว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ แล้วผมก็พาเค้าไปส่งที่ป้ายรถเมล์ ท่าทางน้องอ้อมจะผิดหวังกับตัวผมมาก เธอก็เงียบหายไปหลายวัน โทรไปหาก็ไม่รับสาย ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า คงต้องจบแล้ว ผมทิ้งเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ให้ความเงียบสงบจิตใจ แต่ด้วยความอะไรดลใจผมก็ไม่ทราบให้เกิดความคิดที่ว่า น่าจะรู้จากปากเธอดีกว่า เราอาจจะคิดไปเองก็ได้ ก็เลยโทรไปหาน้องอ้อมอีกครั้ง ครับ....คราวนี้ได้ผล มีคนรับสาย....แต่เป็นผู้ชาย..

"สวัสดีครับ...ขอสายน้องอ้อมครับ"
"ครับ...น้องอ้อมไม่อยู่ครับ"
"ครับ...แล้วจะโทรมาใหม่นะครับ.." ผมถอนหายใจ เริ่มเห็นลางร้าย แต่ก็ไม่วาย หัวใจสะออน โทรไปหาเค้าอีก
"สวัสดีครับ...ขอสายน้องอ้อมครับ"
"ครับ...น้องอ้อมไม่อยู่" ครับเป็นชายคนเดิม แต่น้ำเสียงแข็งขึ้น
"ขอคุยกับน้องนิดนึงได้ไหมครับ.."
"น้องอ้อมเค้าไปกับแฟนเค้าแล้วคุณ... เค้าไม่อยู่หรอก..." ความจริงคำนี้ผมอยากได้ยินจากปากน้องอ้อมมากกว่า แต่เค้าคงไม่อยากคุยกับผมจริงๆ ก็เลยให้คนอื่นรับแทน ผมก็เสียใจพอประมาณ เพราะรู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ก็ได้แต่ทิ้งความหลังให้เลือนไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้น้องเค้าได้ไปพบกับผู้ชายดีๆอย่างที่ควรจะเป็น โชคดีครับ...น้อง

เชื่อ...หรือไม่..

ชีวิตคนเรามีสองด้านเสมอ
ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
เมื่อพิจารณาดูแล้วก็ิยิ่งเห็นจริง
มีสูง..ย่อมมีต่ำ
มีดำ....ย่อมมีขาว
มียาว......ย่อมมีสั้น
มีวัน.............ย่อมมีคืน
มียืน..ย่อมมีนั่ง
มีดัง......ย่อมมีดับ
มีคับ......ย่อมมีหลวม
มีบวม..............ย่อมมียุบ
มีผลุบ..ย่อมมีโผล่
มี่No.........ย่อมมีYes
มีทุเรศ.............ย่อมมีดูดี
ฯลฯ(ชักไปใหญ่)


จะเห็นได้ว่า จะมีด้านตรงข้ามเป็นของคู่กันเสมอ ชีวิตของผมเองก็เคยพบกับด้านมืดอย่างไม่ได้ตั้งใจมาแล้วเช่นกัน เคยทำให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้ของท่าน และผมเองก็ผิดหวังในตัวเอง จนบางทีหมดความเชื่อถือตัวเองไปเลย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปพิจารณาเรื่องราวทุกอย่างล้วนแล้วมีเหตุมีผลเป็นมาเป็นไปทั้งสิ้น ผมตัดสินใจเกี่ยวกับงาน ชีวิต ครอบครัวทุกครั้งจะคิดก่อนเสมอ เพราะแต่ละบทพิสูจน์นั้นยากยิ่งนักต้องแลกกับเงื่อนไขที่ยากจะปฏิเสธ แม้จะล่วงเลยเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นเหมือนตราบาปในใจ ก็ได้แต่คิดว่า ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น การทำใจยอมรับสภาพแล้วค่อยๆฟื้นฟูจิตใจตัวเอง ต้องอาศัยเวลา และกำลังใจจากคนรอบตัว โชคดีที่ผมยังพอมีคนเหล่านี้ ต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ไม่ปล่อยให้ผมรู้สึกตกต่ำลงไปมากกว่านี้ และให้ผมได้ค่อยๆกลัับคืนสู่สภาพปกติ ขอบคุณครับ......

จ่าหมอง(ภาคต่อ)

มาอ่านกันต่อเลยครับเรื่องราวของจ่าหมองเพื่อนผมคนนี้ที่มีดีแต่ไม่ค่อยชอบโชว์ สองสามวันก่อนผมกับจ่าก็ยัง กริ๊ง กร๊าง คุยกันอยู่เรื่อยๆ เรื่องดนตรี กีฬา สุขภาพ จ่าเค้าใจดีมีวิทยาทานให้ผมไว้ประดับสมองอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ต้องแทงยู แทงยู เวรี่มัช ไม่น่าเชื่อว่าจ่าจะเป็นคอเพลงฮาร์ดร็อค เพราะเค้าดูออกจะขี้อายด้วยซ้ำ เรื่องจีบหญิงไม่ต้องพูดถึง ผมกับจ่า.....พอๆกัน(ไม่ได้เรื่อง) เพราะความใจดี เสียสละให้คนอื่นเค้าได้สมหวังในความรัก ตัวเองไม่เป็นไร ยังไงก็ได้(ความจริงไม่กล้าเข้าไปจีบ เพราะรู้ตัวว่ารูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย คารมก็ไม่เป็นต่อ รูปหล่อก็ยังเป็นรอง) แต่กระนั้น เค้าว่า เสียอย่างก็ต้องได้อย่าง อย่างจ่าหมองเพื่อนผม แม้คารมจะไม่เป็นเลิศ จีบหญิงไม่ค่อยเก่ง(หนักไปทางคุยเล่นเฮฮา ..ฮาแก้เขิน)อย่างไรก็ตามจ่าหมองก็ยังมีสิ่งที่โดดเด่นอีกเรื่อง ก็คือ เรื่องการเรียน บ่อยครั้งที่ผมได้อาศัยใบบุญของจ่าบ่อยๆ(ลอกการบ้าน...ไม่ดีนะครับ) จ่าหมองจะมีความจำเป็นเลิศ สมกับชื่อสมอง ส่งผลให้เขาเรียนได้ไม่ด้อยไปกว่าใครและสอบเข้าโรงเรียนจ่าอากาศได้เมื่อจบ ม.ปลาย(ผมคิดว่า)และการที่เขาเล่นกีต้าร์ แกะเพลง ได้เร็วและได้ดีนั้นมาจากสมองชั้นเลิศของเขา เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ที่สำคัญยังใจดีบอกกล่าวเรื่องราวให้เพื่อนๆได้เป็นวิทยาทานอีก ขอแสดงความนับถือๆ ในเรื่องของความรู้ ประสบการณ์ กำลังใจ ก็ยังคงมีมาจากเพื่อนคนนี้เสมอๆในยามที่ต้องการ สิ่งหนึ่งที่จำได้คือจ่าหมองจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี อัธยาศัยใจคอดี ก็จะส่งผลทำให้เป็นคนมีเพื่อนมาก บางคนก็มาเอาเปรียบเค้า ยืมกีต้าร์เค้าไปแล้วก็ทำลืม หายไปเลยก็มีซะงั้น จ่าก็ได้แต่ยิ้ม บอกไม่เป็นไร(แต่ผมเสียดายแทน)

แต่ด้วยความดีทั้งหลายทั้งปวงที่จ่าได้ทำมาหรือจะว่าบุญวาสนาอะไรก็ตาม ส่งผลให้ปัจจุบัน จ่าได้พบกับคู่ชีวิตร่วมทางสายร๊อค พร้อมกับสมาชิกใหม่ตัวน้อยที่ทำจ่าหายเหนื่อยจากการงาน ชีวิตยังอีกยาวไกล สู้ต่อไปนะ จ่าหมอง.....

จ่าหมอง(จอมอัจฉริยะ)

เพื่อนหมอง จ่าหมอง หมอง หรือสมองคือชื่อเล่นของเขาหละ เพื่อนผมอีกคนที่ภูมิใจนำเสนอเพราะทึ่งในความสามารถของเขาหลายๆอย่าง ทั้งทางด้านกีฬา ดนตรี หรือศิลปะ แต่ความสามารถที่โดดเด่นของเขาน่าจะเป็น ดนตรีและกีฬาแต่ผมก็เชื่อว่า ถ้าเค้าได้ฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องศิลปะอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินคว้า จ่าหมองเลือกที่จะเล่นกีต้าร์และฝึกฝนอย่างจริงจัง ทางด้านกีฬาเค้าก็เลือกที่จะเล่นฟุตบอลซึ่งเค้าก็ได้เป็นทีมโรงเรียนได้ยินข่าวว่าไปลงแข่งขันตรงนั้นตรงนี้เสมอๆ

เมื่อตอนสมัยมัธยมปลายผมกับจ่าได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เกาะกลุ่มกันอยู่ด้านหลังห้องเป็นพวกใต้ดินอะไรประมาณนี้ ชอบเล่นอะไรที่ชาวบ้านเค้าไม่ค่อยเล่นกัน ตีกอล์ฟหลังห้อง โดยไปหาว่าตรงไหนของหลังห้องมีหลุมเล็กๆพอประมาณ แล้วใช้เศษชอล์กฝนๆให้เป็นลูกกลมๆ เป็นลูกกอล์ฟ ส่วนไม้ก็ใช้ใส้ปากกาที่หมดแล้วหักปลายให้งอๆ แต่ละคนก็จะมีไม้ส่วนตัวที่ทำขึ้นเอง แล้วก็พลัดกันตีจนลงหลุม ใครฝีมือดีก็จะโฮลอินวัน พอเริ่มหมดสนุกตีกอล์ฟก็แต่งกลอนสลับกันคนละท่อนใครต่อไม่ได้ก็ต้องผ่านให้คนอื่นแต่งต่อจนลงเอย หรือไม่ก็ได้แต่เนื้อหาต้องจบคือไปต่อไม่ได้แล้ว ถามว่าสนุกตรงไหนแต่งกลอน สนุกตรงที่ได้โชว์ไหวพริบและทักษะในการใช้ภาษาไทย เชื่อกันว่าจะได้เป็นกวีในภายภาคหน้า พอเริ่มเมื่อยที่จะแต่งกลอนหรือแต่งไปหลายบทแล้ว หรือแต่งไม่ลงไม่จบสักที พวกเราก็จะมีซาวด์อะเบ้า(เครื่องเล่นเทปคาสเส็ตแบบพกพา)คนละเครื่องและหูฟังเสียบที่หู ใช่แล้วครับได้เวลาฟังเพลงของพวกเราแล้ว เพลงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงร็อค อย่างของผมจะเป็นเพลงร็อคไทยอัสนี-วสันต์,ไมโคร,เฟรม,นูโว, ไฮร็อค, ชั๊คกี้, คาไลโดสโคป, ดิโอฬารโปรเจ็ค, แหลมมอริสัน, Europe เพลงป๊อบ อริสมันส์, พี่แจ้แกรนด์เอ๊กส์,ติ๊กชิโร่ เยอะแยะ ของจ่าจะหนักไปทางเพลงสากลประเภทฮาร์ดร็อค ACDC,U2,Whitesnake,Ugly kid Joe,Steve vai,Jimi Hendrix,Joe satriany และจ่าก็จะมีเพลงสากลใหม่ๆมานำเสนอให้พวกเราได้ฟังเปิดหูบ้าง และจะมีเพื่อนอีกคนฟังเพลงหนักกว่านี้ประเภท เฮฟวี่เมทัล Black Sabbath,Metalica,Megadeath สองคนนี้เค้าก็จะนำเพลงประเภทนี้มาเกทับกันว่าเจ๋งกว่า ผมเอามาฟังแล้วแก้วหูแทบระเบิด เพราะพี่แกเปิดโวลลุ่ม(เสียง)เกือบสุด(สงสัยจะหูตึง)
ช่วงการเรียนมัธยมปลายนั้นทางโรงเรียนก็จะมีการประกวดวงดนตรีภายในโรงเรียนขึ้นเป็นประจำทุกปี ผมเองก็เล่นดนตรี(คีย์บอร์ด)อยู่ในตอนนั้น ก็ได้ยินข่าวว่าเพื่อนอีกห้องจะคัดตัวนักดนตรีเพื่อรวมวงที่ห้องซ้อมดนตรีเจ้าประจำในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนพรุ่งนี้ จ่าก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกันก็ประมาณว่าจะไปลองดู พอถึงวันนัดหมายจ่าก็บอกว่าทางโรงเรียนประกาศจะคัดตัวนักกีฬาฟุตบอลด้วยเขาก็เลยบอกว่าเสร็จจากนี้ค่อยจะไปห้องซ้อมไม่ต้องรอ หลังเลิกเรียนผมก็ใจจดใจจ่อกับการรวมวงดนตรีครั้งนี้มากเพราะดูท่าทาง(เพื่อนๆ)นักดนตรีแต่ละคนจะฝีมือดี (ย้อนหลังไปเมื่อตอนประกวดปีที่แล้วผมยังอยู่ ม.ต้น วงที่ผมเข้าร่วมนั้นดูไม่ได้เลยครับ กีต้าร์ ๓คน คีย์บอร์ด ๓คน เบส ๑ กลอง ๑ รวม ๘คน เต็มเวทีไปหมด แต่ตกรอบแรก เพราะตอนซ้อมมีแค่ กีต้าร์๑ คีย์บอร์ด๑ เบส๑ กลอง๑ นักร้อง๑ พอขึ้นเวทีไม่รู้หัวหน้าวง(นักร้อง)ไปเอาคนมาเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมไม่ได้ซ้อมด้วย ก็เลยจบเห่) พอถึงเวลานัดผมก็ไปปรากฎตัวที่ห้องซ้อมเจ้าประจำ ปรากฏว่าเพื่อนๆนักดนตรีเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นมือกีต้าร์ คีย์บอร์ดมีมาสองคน(รวมผมด้วย) มือเบสตอนแรกก็ว่าจะเล่นกีต้าร์แต่พอเห็นว่าจะไม่รอด(มีคนฝีมือดีกว่า)ก็เลยเล่นเบสแทน ผมก็มองหาจ่าว่าเมื่อไหร่จะมาก็ไม่เห็นแม้เงา เพื่อนๆก็ลองซ้อมสลับสับเปลี่ยน บางคนก็รู้ตัว หรือเบื่อรอหรือแนวเพลงที่เล่นไม่ตรงกับที่แกะมา หรือแกะมาน้อย((โชคดีที่ผมแกะมาเยอะ)และไม่รู้ว่าจะเอาไงกันต่อก็กลับบ้านก่อน จนกระทั่งเหลือ นักร้อง กีต้าร์สองคน คีย์บอร์ดหนึ่งคน(ผมเอง) เบส และกลอง เรียกได้ว่าซ้อมจนเมื่อย ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน สรุปแล้วก็ได้ก่อตั้งวงขึ้นด้วยสมาชิกที่เหลือนั้น ลงความเห็นว่า ชอบเพลงแนวเดียวกัน และซ้อมอึด การเล่นก็ผิดพลาดน้อย(เนียนๆ) แต่ผมก็เสียดายนะที่จ่าหมองมาไม่ทันไม่เช่นนั้นก็จะมีวงที่มีมือกีต้าร์ฮีโร่สองคนในวงเดียว วันต่อมาจ่าก็ถามว่าตั้งวงได้แล้วเหรอ พอดีวันนั้นคัดตัวนักกีฬาจนมืดก็เลยไม่ได้ไปเสียดายเหมือนกัน ผมก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเย็นนี้เค้าจะซ้อมกันไปดูด้วยกันสิเผื่อยังไงจะได้แจมด้วย ตกเย็นจ่าก็ไปที่ห้องซ้อมกับผม พอถึงเวลาพวกเราก็ซ้อมกันโดยมีจ่ายืนดูอย่างเงียบๆ จ่าเค้าจะมีกฏ กติกา มารยาทมากไม่ก้าวก่าย คือถ้าเป็นบางคนที่เข้ามาดูเนียะก็จะมากดนั่นกดนี่ เสียบนั่นถอดนี่ ประมาณว่าจะขอแจมด้วยให้ได้ แต่จ่าเรากลับนิ่ง รอจนกว่า เพื่อนจะบอก แล้วจ่าก็ได้แจมเข้ากันได้อย่างดี ผมก็เอ่ยปากชวนเข้าร่วมวงด้วยกัน จ่าก็บอกว่าไม่เป็นไร นักดนตรีเยอะเดี๋ยวเต็มเวที ความจริงจ่าไม่อยากสกัดดาวรุ่งเพื่อนมือกีต้าร์ที่มาก่อนแม้ว่าจ่าจะเล่นดีกว่า ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง อีกหลายวันต่อมาได้ยินข่าวว่าจ่าไปรวมวงกับรุ่นน้อง
หลังการประกวดปีแรกทางวงผมก็พักการซ้อมไว้ก่อน(ปกติจะซ้อมรวมวงช่วงมีงานสำคัญๆเช่น กีฬาสี งานวันเด็ก ฯลฯ แต่นักดนตรีต้องแกะ ซ้อม เล่นเองที่บ้าน) ช่วงนั้นก็จะมีการเลือกชมรมต่างๆเพื่อเข้าร่วม ผมกับจ่าก็ได้เข้าร่วมชมรม โฟล์คซอง ตอนนั้นผมก็เล่นกีต้าร์ได้พอประมาณ(จับคอร์ดได้หลายคอร์ด แต่โซโลยังไม่คล่อง) อาจารย์ประจำชมรมก็ให้จับกลุ่ม สองหรือสามคนก็ได้ เล่นเพลงด้วยกีต้าร์โปร่ง แล้วเล่นโชว์ทีละกลุ่ม ผมก็จับกลุ่มสองคนกับจ่าหมองและจุดนี้เองที่ผมได้เห็นอัจฉริยภาพทางดนตรีของเขา ไม่ว่าจะเป็นการแกะคอร์ด แกะโซโล่ แกะการเล่นแบบเกา(ฟิงเกอร์สไตล์) ไม่ว่าเพลงจะช้า จะเร็ว เค้าทำได้อย่างรวดเร็ว และจำได้อย่างขึ้นใจ สำคัญคือเหมือนกับต้นแบบยังไงยังงั้น นับถือ นับถืออย่างยิ่ง และจ่าก็ทำให้ผมเข้าใจคำว่า "กระบี่อยู่ที่ใจ" อย่างลึกซึ้ง เพราะกีต้าร์ที่จ่าเล่นเป็นเพียงกีต้าร์โปร่งเก่าๆ แต่เสียงที่เกิดจากการเล่นของจ่าช่างไม่ธรรมดา ผมก็สงสัยและอยากพิสูจน์จึงลองเล่นกีต้าร์ของจ่าดู ปรากฏว่า ไม่ไหวเสียงไม่น่าฟังและยังห่างไกลจ่าอีกหลายขุม บางเทคนิคการเล่นของจ่าก็ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ทึ่ง เพราะไม่คิดว่าคนเก่งอยู่ไกล้ๆเรานี่เอง เช่น เทคนิคทำเสียงเหมือนใช้คันโยก โดยใช้นิ้วกดที่สายเหนือหย่อง(หมอนรอง)สายด้านบน หรือ ดัน(หัก)คอกีต้าร์เบาๆเพื่อให้เกิดเสียงวูบๆ เรา(ผมกับจ่า)เลือกเพลง"คือเพื่อน"ของวงไฮร็อค และเพลง "One" ของวง Metalica มาทำเป็นเวอร์ชั่นอะคูสติก ก็ได้รับความสนใจจากอาจารย์และเพื่อนร่วมชมรมมากทีเดียว เพราะเพื่อนกลุ่มอื่นๆเค้าจะเอาเพลงแบบตีคอร์ดๆ มาเล่นเลย ไม่ต้องดัดแปลง
พูดถึงวงดนตรีที่ผมเข้าร่วมก็เป็นไปด้วยดีเข้าประกวดก็จะได้ ที่หนึ่งสองสาม ไม่หลุดไปจากนี้ แต่น่าเสียดายที่วงรุ่นน้องที่จ่าหมองเข้าร่วมกลับไม่ค่อยเวิร์คเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะว่าฝีมือห่างกันเกินไป ดูจากการประกวดแล้วยิ่งเสียดายฝีมือจ่า จ่าทิ้งทวนครั้งสุดท้ายในการประกวด ท่อนสุดท้ายของเพลงสุดท้าย โซโล่ยาวเหยียด ดุดัน ร้อนแรง รวดเร็ว โชว์เทคนิค งัดออกมาหมด ขณะที่เพื่อน(รุ่นน้อง)ร่วมวง ตะลึง งงงวย เพราะที่แกะมาไม่มีแบบนี้จึงหยุดเล่น ปล่อยจ่าวาดลวดลายบนสายกีต้าร์อย่างเมามันเพียงผู้เดียว สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

อีกเหตุการณ์หนึ่งก็ทำให้ผมประทับใจไม่รู้ลืม กับประสบการณ์ดนตรีร่วมกับจ่า คือช่วงปิดเทอม ม.ปลาย มีการจัดงานประจำปีกีฬาสีของวิทยาลัยอาชีวะศึกษาประจำจังหวัดซึ่งพี่ชายของจ่าหมองเรียนที่นั่น ที่งานก็จะมีการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ มีประกวดกองเชียร์ พิธีมอบรางวัล วันสุดท้ายก็จะมีงานสปอร์ตไนท์(Sport Night)ในตอนกลางคืนซึ่งจะมีการแสดงต่างๆรวมถึงการแสดงของวงดนตรีด้วย พี่ตุ๊บ(พี่ชายจ่า)ก็มาชวนจ่า จ่าก็มาชวนผมไปเล่นรวมกันเฉพาะกิจ ผมก็ตอบตกลง พร้อมคัดเพลงแกะกันแบบชิวๆเพราะคิดว่าคงไม่ต่างจากการแสดงเวทีอื่นๆ พวกเราก็ซ้อมกันไปเรื่อยๆ จนถึงวันงาน เราก็พบว่า โอ้...นี่มันงานใหญ่มากเลยย จ่าก็บอกว่าเพิ่งรู้เหมือนกัน เวทีใหญ่มากสำหรับเรายืนแบบทิ้งระยะห่างกันมาก แถมมีไฟแสงสีวูบวาบตอนเพลงมันส์ๆอีก ยังกะคอนเสิร์ต คนดูก็มีอารมณ์ร่วมกับคนเล่นบนเวที เค้าคงเหนื่อยมาหลายวันก็เลยปลดปล่อยกันในงานนี้ สำหรับผมสนุกและเซอร์ไพรส์มากๆแม้ไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นตัวเงินแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์และความประทับใจเก็บเป็นความทรงจำ จบงานวันนั้นทุกคนก็แฮปปี้ถ้วนหน้า

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อารมณ์นี้.....ยย..ติ๊ดสุดสุด

ใบไม้ร่วง ฝนตก นกบินเป็นกลุ่ม หลายสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สำหรับผมแล้ว ฮ้า... มันไม่ช่ายยย.... มันเป็นมากกว่านั้น มันมีผลกระทบทางอารมณ์กับผม ผมไม่รู้ว่ามีใครเป็นแบบผมมั่ง อารมณ์อ่อนไหว พริ้วไปกับสายลม แสงแดด กวี บทกลอน ลำนำ สายธารและขุนเขา เพื่อนบางคนบอกว่าผมสร้างภาพ อยากเป็นศิลปิน ก็ว่ากันไป
ผมชอบที่จะคิดอยู่กับตัวเอง คิดอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กๆ เขียนกลอน วาดรูป เล่นดนตรี จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็กๆเรียนชั้นประถม ชอบวิชาวาดเขียนมากกกกก... ผมจะมีสมุดวาดเขียน เล่มใหญ่ๆที่ขอ(คุณ)พ่อซื้อให้ สมุดเล่มนี้ก็จะเอาไว้วาดรูปทุกอย่างที่อยากจะวาด เหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง ครั้นพอมีเพื่อนหรือญาติๆมาเที่ยวที่บ้าน ก็จะถือโอกาสนำเสนอผลงานศิลป์(ซึ่งตอนนั้นคิดว่า)สุดเจ๋งให้ใครๆได้ชื่นชมอย่างน่าภูมิใจ จนกระทั่งจบชั้นประถม ๖ ขึ้นชั้น มัธยมปีที่ ๑ ก็ได้มาเจอกับเพื่อนผู้รักงานศิลป์เช่นเดียวกัน นั่นก็จะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้ ก็คือไอ้เบียร์ หลังจากที่ได้เห็นผลงานของเพื่อนคนนี้ ก็เกิดความคิดขึ้นมาเลยทีเดียวว่า " โอ้เพื่อน...แกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้..." เพราะนอกจากไอ้เบียร์จะวาดสวย วาดดีแล้วนั้น วันๆผมก็จะเห็นมัน วาด วาด วาด แล้วก็วาด แม้กระทั่งช่วงเรียน อาจารย์เผลอ ก็จะแอบวาดลงในหนังสือเรียนคู่มือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิต อังกฤษ ภาษาไทย ก็จะมีตัวการ์ตูน สัตว์ประหลาด อุลตร้าแมน เคนชิโร่ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าไม่มีหนังสือเล่มไหนหรือหน้าไหนของไอ้เบียร์ ที่จะไม่มีตัวการ์ตูนเหล่านี้ จึงทำให้พัฒนาการด้านการวาดของเพื่อนผมเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนผมตามไม่ทันและในที่สุดผมจึงได้ทำการแขวน ดินสอ ปากกา สมุดวาดเขียนลงอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงช่วง ม. ๓ การวาดของไอ้เบียร์ก็บรรลุขั้นเทพ ผมก็ได้ผันตัวไปเล่นดนตรี เพราะเห็นครูฝึกสอนเล่นอีเล็คโทน จึงสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเสนอเงื่อนไขกับ(คุณ)พ่อว่าถ้าสอบคราวนี้ เกรด ๓ ขึ้นไป จะขอแลกกับอีเล็คโทน ซึ่งผมก็ทำสำเร็จ ได้เครื่องดนตรีตัวแรกมาไว้ในครอบครอง แล้วผมก็เล่นมันทุกวัน วันละนานๆ จนถึงขั้นรวมวงเล่นกันเพื่อนเมื่อขึ้นชั้น ม. ๔-๕-๖ เล่นไปเล่นมา (คุณ)แม่ก็เริ่มไม่ปลื้ม เพราะว่าค่าไฟเริ่มจะบาน(ปลาย) จึงได้ยินเสียงบ่นมาเสมอๆ ช่วงนั้นพอดีสายตาก็เหลือบไปเห็น กีต้าร์โปร่งตัวหนึ่ง(ของพี่สาวผมเอง แต่พี่เค้าเลิกเล่นเพราะเจ็บนิ้ว)พิงข้างฝาบ้าน ใจนึงอยากจะช่วยประหยัดค่าไฟผมจึงหันมาเล่นกีต้าร์โปร่ง เล่นได้สามคอร์ดก็เริ่มมีกำลังใจฝึกจนได้เกือบทุกคอร์ด เพื่อนๆก็ชอบกันเพราะผมจัดให้ทุกเพลงที่ขอ ถ้าคุณร้องได้ ผมก็เล่นได้อะไรประมาณนั้น จะขึ้นเขาลงห้วยก็จะเห็นกีต้าร์ติดตัวไปกับผมเสมอ เพื่อนคนไหนไปไหนเค้าก็มักจะชวนผมไปด้วยทุกครั้งพร้อมทั้งกำชับว่า "เอากีต้าร์ไปด้วยนะ...." อืมมม.... สงสัยเห็นผมเป็นคาราโอเกะเคลื่อนที่กระมังเนียะ บางทีเล่นเกือบสองชั่งโมง จนนิ้วโป่ง แทบจะไม่ได้ร้องเลย เพราะนักร้องมีอยู่แล้วคิวยาวเหยียด ผมมีหน้าที่เล่นก็เล่นไป ทุกคนก็มีความสุข ผมก็มีความสุข จากการเล่นกีต้าร์นี้ก็ทำให้ผมได้พบเพื่อนคนนึงซึ่งปัจจุบันก็ยังเกื้อกูลกันเสมอมา เขาเป็นมือกีต้าร์อัจฉริยะในสายตาของผม มีหลายอย่างที่เขาทำให้ผมทึ่งแล้วผมจะเล่าให้ฟังวันหน้า คุณพระคุ้มครองครับ....

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คนสามัญประจำบ้าน

จะเรียกว่า "ตกงาน" หรือ "ทำงานอิสระ" ก็แล้วแต่จะกล่าวกันความหมายไม่ได้แตกต่างหรือดูหรูหรากว่ากันสักเท่าไร แม้ว่างานการในปัจจุบันนี้ไม่ได้หายากอย่างเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีคนตกงานอยู่เสมอๆให้ได้เห็นประดับสังคมไทยถ้าไม่กล่าวถึงการเลือกทำงาน(ชั้นสูง-กลาง-ต่ำ)แล้ว เรื่องของอายุ สังขาร และความชอบ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้องไม่มีงานทำ เรื่องของความชอบอันนี้ก็ฝืนกันไม่ได้ เป็นเรื่องของจิตใจเรื่องของความถนัด แต่คนเราก็สามารถลองผิดลองถูกได้ งานนี้ตอนแรกคิดว่าถนัด ทำไปทำมาอาจจะไม่เวิร์ค ก็เปลี่ยนกันได้จนกว่าจะพอใจ บางคนเปลี่ยนงานตลอดชั่วชีวิต แต่ก็มีข้อเสียคือ เหมือนเราจะต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนงาน แต่ถ้าพบแล้วว่างานนี้ลงตัวก็ควรที่จะยึดเป็นอาชีพไว้ เพราะเวลาอาจจะเหลือน้อยลงๆ อายุก็จะมากขึ้นๆ พูดถึงอายุก็จะเกี่ยวเนื่องกัน สังขาร สองอย่างนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการคัดสรรแรงงานหรือพนักงานเพื่อเข้าทำงานในโรงงาน หรือบริษัท อย่างบางบริษัทก็จะเปิดรับพนักงานอายุ ๒๕ปีขึ้นไป คนอายุ ๒๔ปี ก็หมดสิทธิ์ ต้องรอสมัครปีหน้า หรือไม่ก็ต้องมองงานอื่นที่รับพนักงานอายุน้อยกว่านี้ อย่างบางโรงงานก็ประกาศรับ พนักงานอายุไม่เกิน ๓๕ปี คนอายุ ๓๖ปี ก็หมดสิทธิ์ ก็ต้องไปหางานอื่นที่รับอายุมากกว่านี้ ซึ่งก็หายากเต็มที นอกเสียจากว่าจะไปประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย จะเรียกให้หรูก็คือ "ธุรกิจส่วนตัว" ลงมือทำเอง จะมีหุ้นส่วนหรือไม่มี กลัวโดนโกงก็ต้องทำคนเดียว รับผิดชอบคนเดียว เวลาเจ๊งก็จะได้ไม่ต้องไปโทษใคร ถ้าทำ(ธุรกิจ)คนเดียว บริหารคนเดียว อันนี้เรื่องของสังขารก็จะมาเกี่ยวข้อง เพราะทำคนเดียวก็เหนื่อยคนเดียว เครียดคนเดียวเพราะคิดคนเดียว ฉะนั้นต้องระวังรักษา ดูแลสุขภาพกันตัวเองให้ดี การกิน การนอน การพักผ่อน (ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนอนอย่างเดียว ยังรวมถึงการผ่อนคลายความเครียดทั้งหลายด้วย )ต้องให้สมดุลย์กัน ไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง กินมาก นอนน้อย นอนมาก กินน้อย ก็ต้องให้สมดุลย์พอดีไม่ขาดไม่เกิน และสำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ละช่วงที่ทำงาน
เนื่องจากความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายนั้นหากมีความเครียดสะสมไว้มากก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยใข้เจ็บได้ เช่น โรคเครียดลงกระเพาะ โรคนอนไม่หลับ โรคไมเกรน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ส่วนทางด้านจิตใจนั้นความเครียดนอกจากจะทำสุขภาพจิตเสียแล้ว ยังทำให้สมองสั่งงานผิดพลาด หลงๆลืมๆ ฉะนั้นเราก็ควรที่จะหาทางระบายความเครียดกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่นผม ส่วนใหญ่จะเครียดเรื่องแบบว่า ไม่ได้ดั่งใจ อยากได้ อยากมี อยากเป็น แล้วไม่ได้สมใจอยากก็จะเครียด ในเรื่องของการทำงาน ก็จะอยากให้เสร็จเร็วๆ ไม่ผิดพลาด และดีที่สุด ก็จะก้มหน้าก้มตาทำ จนลืมกินข้าวบ้าง ลืมทักทายคนบ้าง ลืมออกกำลังกายบ้าง กลับบ้านก็เอาไปคิดต่อที่บ้าน นอนไม่หลับ หลับก็หลับไม่สนิท ตื่นขึ้นมาก็เพลีย หน้าตาก็โทรม ก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ สุขภาพจิตเสีย สุขภาพกายก็เสีย ความเครียดเหล่านี้ในทางพุทธศาสนา ก็บอกให้เรารู้จักปลง ปล่อยวาง ให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ปฏิบัติทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนจนเกินไป รู้จักประมาณตน ก็สามารถลดความเครียดลงได้ ลองดูกันครับ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ฝันที่(เมื่อไหร่จะ)เป็นจริง...

คุณเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไหม... บางทีอะไรที่ดูง่ายๆ...แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่เป็นอย่างที่คิดที่หวัง... ถ้อยคำที่ฟังง่ายๆ... เบื้องหลังก็แผงเงื่อนไขหลายอย่างจนแทบไม่น่าเชื่อ... ผมหรือใครๆก็ต่างมีความฝันกันทุกคน ฝัน....ที่ใครๆก็มีได้... แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำให้มันเป็นความจริง บางคน...ก็คว้ามันได้อย่างง่ายดาย บาง...คนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด บางคน...ก็ไปไม่ถึงสักที ทั้งๆที่อยู่แค่เอื้อม บางคน...ก็เหมือนกับมีฝันไว้ล้อเล่นกับชีวิต พอจะถึงก็หายไป พอสักพักก็มาอีกให้ดีใจ ไขว่คว้าไปก็สูญเปล่า... และฝันของผมก็มักจะเป็นอย่างหลังนี้

แต่มันก็เป็นสิ่งเดียว...ที่หล่อเลี้ยงชีวิต...เติมกำลังใจให้ผมมาโดยตลอด ให้มีแรงได้ยืนหยัด... เหมือนกับหลอกตัวเองว่า " เราอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนนะ....ความฝันเราไกล้จะสำเร็จแล้ว...ไกล้แล้ว..." แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสำเร็จ เคยได้ยินเพลงของ อัสนีย์-วสันต์ ร้องว่า "หากเราคิดอะไรสักอย่าง ต้องมีทางสู่ความสำเร็จ หากเราคิดจะทำให้เสร็จ อย่าพูดเท็จกับตัวของเรา.." ผมก็ว่าความมุ่งมั่นของเราก็ไม่ด้อยไปกว่าใครนะ... แต่ทำไมไปไม่ถึงเสียที สะดุดตลอด เหมือนซีดีเป็นรอย เล่นไม่จบสักที แต่ก็พยายามเล่นไปนะ จนกว่าเครื่องอ่านจะพัง ก็เป็นความสุขเล็กๆ สุกๆดิบๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมยังมีความเชื่อว่า... ยังมีอีกหลายสายตาที่รอดู รอให้ผมไปถึงจุดที่คิดหวังไว้ เหมือนอย่างที่ผมอยากเห็น...ใครบางคนไปถึงจุดที่เค้าฝันไว้ แม้เราจะไม่มีส่วนร่วมแต่ก็ร่วมยินดีด้วยกับความสำเร็จนั้น อย่างเพื่อนยินดีกับเพื่อน... ยินดีกับพี่ น้อง ลูกหลาน...

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าผมจะเคยผิดหวังมาหลายครั้ง... ล้มแล้วล้มอีก... เสียความรู้สึกที่ดี... ความมั่นใจในตัวเองไปสักเท่าไร... แต่...เมื่อมองลงไปลึกๆแล้วก็ไม่ได้เป็นการสูญเปล่า... อย่างน้อยก็ได้รับประสบการณ์ชีวิตมาเพื่อสอนให้รู้ว่าควรจะทำอย่างไร... กับเวลาที่เหลืออยู่...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

(ไอ้)คุณเบียร์เพื่อนผม

ชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางใจดี(ในบางครั้ง)พกพาความฮามาให้เพื่อนๆได้น้ำหูน้ำตาไหลเป็นประจำ ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะทำให้เพื่อนๆเสียใจ(โดยตั้งใจ)หรือเจ็บตัว เนื่องด้วยความเป็นศิลปินของเขา จะไม่ค่อยจะมีเหตุจูงใจอะไรให้เกิดเรื่องประเภทบู๊ล้างผลาญ และ(ไอ้)เพื่อนคนนี้ของผมก็เป็นคน(ค่อนข้าง)ใจเย็น มีเหตุมีผล

แต่และแล้วก็ถึงวาระที่จะต้องเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ช่วงนั้นผมและไอ้เบียร์ได้ย้ายห้องพักไปเช่ารวมอยู่กับเพื่อนๆประมาณ ๕-๖ คน เวลานอนงี้เรียงกันเป็นตับ(นอนกับพื้น) ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่คนหลายคนอยู่รวมกันจะต้องมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกันตามประสา วันนั้น หลังกลับจากเรียนทุกคนก็เหนื่อยเมื่อยล้า ผมคนหนึ่งหละที่ไม่ไหวแล้ว กินข้าวเสร็จก็อาบน้ำ แล้วเอนหลังนอนแต่หัววัน จนกระทั่้งประมาณสองทุ่มกว่า ไอ้อ้วน(เพื่อนในกลุ่ม) ก็มาชวนเพื่อนๆรวมถึงผมไปเที่ยว(กลางคืน)กัน พวกเราก็ ตอบตกลง โอเค แต่งตัว (พยายาม)ทำหล่อ เท่ห์ ตามสไตล์ใครสไตล์มัน แล้วก็ไปรวมตัวกันที่ผับแห่งหนึ่ง...กิน ดื่ม แด๊นซ์กันเต็มที่ แล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันต้องเลิกรา ผมก็ขอตัวกลับเพราะเริ่มไม่ไหว ก็มีเพื่อนอีกกลุ่มที่จะกลับพร้อมกัน จะมีก็ไอ้บอยที่ยังฟิตเปรียะเที่ยวชวนใครๆให้ไปเที่ยวต่อที่อื่น ซึ่งก็จะมีอีกประมาณ ๒-๓คนที่จะไปต่อ ผมกับไอ้เบียร์และเพื่อนอีกกลุ่มจึงเดินทางกลับห้องพัก เปลี่ยนชุด แล้วก็นอน กำลังนอนอย่างสบายๆ ได้สักประมาณครึ่งชัวโมง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อกๆ เงียบ............... จนไอ้นิดทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นไอ้บอย เพื่อนร่างผอม เมาอ้อแอ้ ชวนไอ้นิดไปเที่ยวต่อ ไอ้นิดบอกไม่ไหว ง่วง แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ทิ้งไอ้บอยยืนนิ่งได้สักพัก ก็เริ่มใช้เท้าเขี่ยเพื่อนคนที่นอนต่อๆไป พร้อมชวนไปเที่ยว ซึ่งผมก็โดนด้วยแต่ก็ปฏิเสธไป แต่ก็แอบดูต่อไปว่า ไอ้บอยจะทำไงต่อไป ไอ้บอยก็เขี่ยไปจนกระทั่งถึงคิวไอ้เบียร์ซึ่งเป็นคนสุดท้าย "สงสัยคืนนี้ต้องมีเรื่อง" ผมนึกในใจ ไอ้บอยก็ใช้สูตรเดิม เท้าเขี่ยๆ ปากก็พูด"เฮ้ยๆ...กินเหล้ากันต่อ เบียร์.." ไอ้เบียร์ก็ลุกขึ้นมาปฏิเสธ พร้อมกับบอกให้ไอ้บอยกลับไปนอน ไอ้บอยก็ไม่ฟังตื้อชวนต่อไป(เพราะเหลือคนสุดท้ายแล้ว) ทั้งยังใช้เท้าเขี่ยไอ้เบียร์ตลอด ยังผลให้ไอ้เบียร์ลุกพรวดขึ้น กระโดดถีบแบบไอ้มดแดง ไอ้บอย หนุ่มร่างผอมเกร็งกระเด็นตัวลอยไปแปะอยู่ที่ประตูห้องพร้อมรูดลงมากองที่พื้น "ไอ้เบียร์ มึงเตะกูเหรอ มึงทำงี้ได้ไงวะ.." ยังไม่วายมีเสียงจากปากไอ้บอย ไอ้เบียร์หาได้สนใจไม่ กลับลงไปนอนต่อซะงั้น เพื่อนๆบางคนตื่นขึ้นมาเห็น ก็บอกไอ้บอยให้กลับห้องไป ไอ้บอยก็บ่นไปบ่นมาแบบเมาๆ หาว่าเพื่อน(ไอ้เบียร์)ไม่รัก รังเกียจตัวเอง แล้วก็เดินลงไปชั้นล่างของหอพัก ไปคว้าเอาไม้ยาวๆประมาณ ๒วา ลากขึ้นมาที่ห้องจะตีไอ้เบียร์ เพื่อนๆก็ช่วยห้ามไว้ทัน ไอ้บอยก็เลยน้อยใจวิ่งออกไปบนถนนจะให้รถชน เพื่อนๆก็ห้ามไว้อีก(เฮ่อ....) แล้วก็ล็อคตัวพาไ้อ้บอยไปส่งที่ห้องอย่างทุลักทุเล ผมก็ปวดหัวเพราะแทบจะไม่ได้นอน ส่วนไอ้เบียร์ยังคงนอนหลับอย่างสงบนิ่งบนที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราว จนเช้าผ่านไป จนเที่ยงวันไอ้เบียร์จึงค่อยตื่นขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดแล้วจึงรู้เรื่องจากปากเพื่อนๆ เพราะไอ้เบียร์มันบอกมันจำไม่ได้เมื่อคืนเมา สุดท้ายก็ไปเคลียร์กัน จับมือเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ผมว่าก็ดีนะที่เิกิดเรื่องขึ้น เพราะไอ้เบียร์ก็นจะได้รู้ว่ามันบ้านอนแค่ไหน ยิ่งตอนเมาก่อนนอนด้วยแล้ว ส่วนไอ้บอยก็จะได้รู้ว่าไม่ควรรบกวนคนเวลานอน ใจเขาใจเรา ด้วยความเมาด้วยแหละไ้อ้บอยถึงต้องโดนถีบไปนอนกองข้างฝา

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชีวิตนี้ ไม่ใช่ชีวิตหนี้

เคยมีประโยคหรือวลี(ที่คิดว่า)เด็ดหลุดออกจากผมและเพื่อนๆเสมอ เวลาที่ได้เจอกัน ตั้งวงอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราเสวนากันอยู่ในขณะนั้น เมื่อผมได้เล่าเรื่อง(ที่คิดว่า)ขำๆจบลง เพื่อนๆก็จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ประมาณว่า "จบแล้วเหรอ" ไอ้เบียร์ก็พูดขึ้นว่า "ในความไม่ตลก ก็ยังมีความตลก" แล้วทุกคนก็ขำกันฮากลิ้ง ส่วนคนที่ขำไม่ออกก็คือผู้เล่าก็คือ ผมเอง แหม ถ้าขำเรื่องที่ผมเล่าก็จะได้ฮาด้วยกันอยู่หรอก จำไว้เลยนะ หึ...หึ... และจากคำกล่าว(ของไอ้คุณเบียร์)นี้เอง ที่เป็นต้นแบบของคำกล่าวลักษณะนี้ตามออกมาให้ได้ยินเป็นระลอกๆ

วันหนึ่งขณะที่ผมและเพื่อนๆชาวคณะเดินกรีดกราย ชื่นชมสิ่งของต่างในลานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ต่างคนก็ต่างมองหาสิ่งของที่ตัวเองต้องการ ผมก็เหลือบไปเห็นกระจกของร้านขายเสื้อผ้า ก็เลยถือวิสาสะส่องกระจกโดยมิได้ขออนุญาตเจ้าของร้าน พร้อมกับใช้มือเสยผม แกะขี้ตา ครูดสิว ตามแต่สะดวกสรรหา พฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่อาจพ้นสายตาของไอ้เบียร์ไปได้ มันพูดพร้อมกับชี้มือมาทางผมว่า "ในความไม่หล่อ ก็ยังมีความหล่อ" เพื่อนๆก็ขำกลิ้งกันอีกตามเคย แหม......... รู้ตัวครับ ว่าหน้าตาไม่ดี แต่งตัวก็เชย ไม่เหมือนพระเอกซีรี่ส์เกาหลีแต่ก็ขอประคับประคองนิดนึงไม่อยากให้มันเลวร้ายไปกว่านี้ นิดนึงนะ........

กล่าวถึงไอ้เบียร์อยู่นาน ก็อดคิดถึงเพื่อนคนนี้ไม่ได้ ป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้ ผมคบกับไอ้เบียร์ตั้งแต่มัธยมต้น แล้วก็แยกกันตอน ม.ปลาย ผมเรียนต่อสายสามัญ(ม.๔-๖) ส่วนไอ้เบียร์ไปเรียนต่อสายอาชีวะ(ปวช.-ปวส.) ไอ้เบียร์เป็นอะไรหลายๆอย่างในกลุ่มเพื่อน เป็นศิลปินเขียนภาพ วาดรูปเก่ง ด้วยปากกาหรือดินสอ ผมเคยเห็นเค้าวาดตั้งแต่ตอนแรกๆที่ต้องร่างด้วยดินสอ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่เจอก็วาดได้เลยโดยไม่ต้องร่างสุดยอดครับ

กล่าวได้ว่าศิลปะเกือบทุกแขนงไอ้เบียร์สามารถทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น วาดรูป คน การ์ตูน งานปั้น งานหล่อ(ปูนปลาสเตอร์) งานประกอบโมเดลตุ๊กตา พ่นสี ฯ หรือแม้กระทั่งเป็นศิลปินนักร้อง เล่นตลก อันนี้ก็เรียกเสียงฮากันตลอด ไอ้เบียร์เป็นเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่งที่คบกันมา แต่ผมก็เห็นเค้าสนิทชาวบ้านเค้าไปทั่ว เฮไหน เฮกัน แต่เห็นเค้าเฮๆ ฮาๆอย่างนี้ บางทีก็ซีเรียสเป็นกะเค้าเหมือนกันนะครับ อันนี้เจอมากับตัวเอง

สมัยเรียนหนังสือ แล้วจำเป็นต้องห้องพักอยู่ด้วยกันสองต่อสอง(อะจึ๋ยยย) วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ไม่รู้ว่าไอ้เบียร์ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา วันนั้นเค้าจึงเริ่มต้นด้วยการนอน นอน นอนบนที่นอน น่าแปลกไหม น่าแปลกครับ เพราะปกติต้องเห็นเค้าลุกขึ้นมาทำงานศิลป์ของเค้า และเค้าก็เคยบอกผมว่า นอนมากขี้เกียจเหมือนควาย(ขอโทษครับที่ไม่สุภาพ) ผมจึงต้องตื่นขึ้นมานั่งอ่านหนังสือ นั่งก็แล้ว นอนก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าไอ้เบียร์จะตื่นเสียที จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกหิวข้าว ไอ้เบียร์เพื่อนผมก็ยังไม่ตื่น จึงเข้าไปปลุกกะว่าจะได้ไปหาอะไรกินกันหรือไม่ก็ซื้อมากินที่ห้อง "เฮ้ย...เบียร์ๆ ตื่นๆ ไปหาอะไรกินกัน" ผมเรียกพร้อมเขย่าตัวแรงๆ "เออๆ....ไปก่อนๆ" เสียงไอ้เบียร์พึมพัมเหมือนคนละเมอ ทำไงได้หละครับ ผมก็เลยต้องไปซื้อกับข้าวคนเดียว อีกสักประเดี๋ยวผมก็กลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหาร ไอ้เบียร์ก็ยังสงบนิ่งบนที่นอนเหมือนเดิม ผมจึงต้องจัดแจงแกะห่อกับข้าวลงสู่ภาชนะอย่างเสร็จสรรพ แล้วก็เข้าไปปลุกเพื่อนอีกรอบ "เฮ้ยๆ....มืดแล้ว กินข้าว" ผมประชด .......... มีเพียงความเงียบตอบกลับมาพร้อมกับพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนอย่างไม่แยแส "เอาวะ...กินคนเดียวก็ได้" ผมนึกในใจพร้อมกับนั่งลงกินข้าวปลาที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนรักก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาร่วมวงด้วยเลย ด้วยความเสียดายกับข้าวที่เหลือเพราะในห้องไม่มีตู้เย็นเก็บกับข้าว จึงต้องจำใจกินส่วนที่เหลือให้หมด แล้วเก็บกวาดให้เรียบร้อยไม่งั้นมดจะมาช่วยเก็บพร้อมกับมาอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นผมก็นั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจเฉิบ สักพักก็ได้ยินเสียงไอ้เบียร์ขยับตัว และดันตัวเองลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจจจจ..แล้วเหลือบมาทางผม "ไปกินข้าวกัน...." เสียงชวนอย่างอารมณ์ดีของเพื่อน "กินแล้ว...เมื่อกี๊...เพิ่งเก็บกวาดเสร็จก็มานั่งอ่านหนังสือนี่แหละ" ผมว่า "อ้าว...เหรอ ไม่เห็นชวนกันมั่ง..." ดูมัน แล้วยังทำหน้าแบบว่า เอ็งผิดนะเนียะที่ไม่ชวนข้า "ไอ้บ้านอน.. นอนมากใครมาปลุกก็ไม่รู้เรื่อง" ผมกะจะบ่นต่อ ไอ้เบียร์ก็ชิ่งไปอาบน้ำแล้วก็ออกไปกินข้าวข้างนอก จากเหตุการณ์นี้ก็เกิดฉายา "ไอ้เบียร์บ้านอน(นอนจนเป็นบ้า)"เป็นที่เล่าขานในหมู่เพื่อนพ้อง แต่ตำนานความบ้านอนของไอ้เบียร์ยังไม่จบแค่นี้นะครับ ยังมีอีกแต่จะออกแนวรุนแรงนิดนึงซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย จบเรื่องนี้ก่อนเริ่มเมื่อยมือ.....