lozocatlozocat
"It's my life "
lozocatlozocat

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บ้านสวนติวานร How to ขายไม่ออก

ผมไม่เข้าใจเท่าไรนักของสาเหตุึการได้มาเจอที่แห่งนี้ เพราะผมมัวแต่สาระวนอยู่กับงานที่เพิ่งบรรจุเข้าไปใหม่ๆ อาจจะเรียกได้ว่า"เห่องาน"ก็ว่าได้ นอกจากคำว่า "เห่องาน" แล้ว ก็ยังเห่อความแปลกใหม่ของที่ๆมาอยู่ จากเด็กต่างจังหวัด สอบได้มาเรียน และบรรจุงานที่ กทม. อะไรก็ดูดีไปหมด แทบจะลืมคำว่า ทุกข์ ลืมฝัน ลืมสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ ลืมหลายๆเรื่อง หลายๆคน หลายๆอย่าง ดูเหมือนกับตัวมันลอยๆ อยู่ในวิมาน โอ้...นี่หรือกรุงเทพฯ เมืองฟ้า เมืองสวรรค์ที่ทุกคนต้องการจะมาอยู่ แดนศิวิไลซ์ที่ทุกคนค้นหา จุดหมายปลายฝันของเราก็อยู่ที่นี่

หลังจากที่ได้บรรจุงานวันแรก ผมก็ได้เช่าห้องเล็กๆอยู่ห่างจากที่ทำงานไกลพอสมควร จากการแนะนำของรุ่นพี่ใจดีท่านหนึ่ง บอกว่านั่งรถต่อเดียว ถึงที่ทำงานเลย แล้วราคาค่าเช่าก็ไม่หนัก อยู่ได้แบบกระเป๋าไม่ร้อน เนื่องด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างประประหยัด ผมจึงได้ตัดสินใจเข้าพักอยู่ที่นั่น ด้วยสัมภาระที่มีเพียง เป้เสื้อผ้า พัดลม หนังสือ กีต้าร์ นานๆก็จะมีเพื่อนมาเยี่ยมเยือนบ้าง วันหยุดก็เดินห้าง เดินสวนจตุจักร ฯลฯ หลากหลายเหตุการณ์มากมาย คืนวันที่สดใส เงิน งาน เพื่อน วงดนตรีช่างล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ

และแล้วก็เหมือนมีจุดพลิกผันกับชีวิตที่ทำให้ล่องลอยเข้าไปอีก พ่อคุณพ่อของผมได้ข่าวมา ถามไถ่สารทุกข์ สุกดิบ และ บอกว่าจะซื้อคอนโดให้อยู่ จะได้เป็นส่วนตัวไม่ต้องเช่า พอดีเพื่อนคุณพ่อเค้าซื้อไว้ แล้วเปลี่ยนใจจะไปซื้อบ้าน ก็เลยมาเสนอขายให้ท่าน ส่วนตัวผมแล้ว ยังไงก็ได้ครับตอนนั้นมันช่างดูโลกสดใส เหมือนจิตปรุงแต่ง แล้วก็ถึงวันที่ผมจะได้ย้ายเข้าไปอยู่เสียที บ้านสวนติวานร

ก่อนจะเก็บของย้ายที่พำนัก ผมก็ได้โทรเช็คสำนักงานขาย ยืนยันว่าสามารถเข้าไปอยู่ได้เลยนะ เพราะผมจะได้บอกคืนห้องเช่า ทางสำนักงานขายก็บอกเข้าอยู่ได้เลย ผมจึงดำเนินการต่อไป จนกระทั่งเก็บของเดินทางไปยังที่พำนักแห่งใหม่ ความจริงผมเคยเดินทางเข้ามาดูแล้วครั้งนึง ครั้งนี้ก็ยังคงบรรยากาศร่มรื่น สองข้างทาง แม้จะอยู่ลึกหน่อย แต่ก็โอเค มีรถสองแถวผ่าน ตี5-3ทุ่ม แม้จะอยู่ไกลที่ทำงานมากไปนิดส์ นั่งรถ สองสามต่อ ใช้เวลาเดินทางมากไปนิดส์ ต้องตื่นตั้งแต่ตี5 นี่แค่สรรพคุณคร่าวๆครับ ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่ามาอยู่ได้ยังไงอะไรมันจะขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าหละครับ ตอนนั้น ต้องการความสงบเงียบ เพื่อที่จะทำเพลง ซ้อมดนตรีบ้างในช่วงวันหยุดอันสดใส ชิลๆ

ความประทับใจในวันแรกที่เข้าไปพักคือ ไฟฟ้า ยังไม่ได้ต่อ ต้องโยงจากส่วนกลางมาให้ใช้ แบบทุลักทุเล ติดๆดับๆ ทั้งๆที่ห้องใช้เพียงพัดลม 1ตัว น้ำก็ไหลบ้าง หยุดบ้างตามอัธยาศัย บางครั้งต้องนอนใต้แสงเทียนทั้งชุดทำงาน เพราะไฟกับน้ำมีปัญหา โอ้.....นี่หรือ บ้านสวนติวานร ทุกครั้งที่มีปัญหา ไปแจ้งที่สำนักงานขาย สิ่งที่ได้คือ ความฝัน บางทีต้องไปค้างที่บ้านเพื่อน ไปอาบน้ำที่ทำงาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไฟดับผมแจ้งไปที่ช่างส่วนกลาง ช่างเข้ามาดู เค้าเหลือบเห็นกีต้าร์ผม แล้วเค้าก็วอไปบอกเพื่อนช่างอีกคนว่า ที่ห้องเล่นกีต้าร์ ผมนึกฉุนในใจว่า เฮ้ย กีต้าร์มันวางพาดข้างฝา ยังไม่ได้เสียบสายอะไรเลย แค่เปิดพัดลมตัวเดียวทำไมไฟดับทำไมไม่ดูบ้าง ทีห้องอื่นเค้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะแยะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ผมจำได้ประทับใจไม่รุ้ลืม กับความอยุติธรรมนี้ ก็ได้แต่เก็บเรื่องราวไว้เพราะไม่อยากสร้างปัญหา สร้างศัตรู น้ำไม่ไหล แจ้งไป 3-4 วัน น้ำท่าไม่ต้องอาบกัน พอไปแจ้งบ่อยๆก็ออกอาการไม่พอใจ

นั่นเป็นความประทับใจคร่าวๆพอสังเขป และผมก็ได้ย้ายออกด้วยเหตุที่ไม่น่าเลย คือ โดนคุณช่างท่านเขม่นโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็โดนปาหินบานเกร็ดแตก จะไปเคลียร์กับใครก็ไม่มีเพราะหายกันไปหมด เล่ามานานแล้วมันก็แค่ช่วงหนึ่ง จะเล่าทุกเม็ดก็คงจะต้องอ่านกันตาแฉะไปข้าง

วันนี้ คุณแม่ได้มีคำสั่งให้ทำการประกาศขายคอนโดห้องนี้ออกไป เพราะไม่มีใครเข้าไปอยู่แล้ว นับวันค่าส่วนกลางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมนึกในใจว่า ใครจะอยากได้คอนโด ที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์กันบ้างครับ ใครๆเค้าก็ต้องการที่เข้าไปอยู่ได้เลย แต่นี่คุณพี่สาวนึกอย่างไรไม่ทราบถึงได้ไปขนเอาเฟอร์นิเจอร์ อันได้แ่ก่ ที่นอน เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้า เก้าอี้ออกไป เหลือแต่ห้องว่างๆ กับกองหนังสือของผมที่ถูกเทออกมากองที่พื้นอย่างไม่แคร์ ผมไม่เข้าใจครับ แล้วดูคุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าที แปลกใจ หรือตกใจกับการกระทำเช่นนี้ มีแต่ผมเสียอีกที่กลัวว่าจะมีโจรงัดห้องเข้าไปขโมยของ นี่ถ้าคุณพี่สาวกับคุณพี่เขยไม่ทะเลาะกัน และเดือดร้อนผมต้องไปช่วยขนของย้ายจากบ้านคุณพี่เขยมาไว้ที่บ้านแม่ ผมก็คงจะไม่รู้ว่า เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดมันอยู่ตรงนี้นี่เอง มีผมเซอร์ไพร้ส์อยู่คนเดียว หรือจะเป็นคำสั่งคุณแม่ให้ขนก็ไม่ทราบได้ แต่ผมบอกได้เลยนะครับ ว่า ขายยากครับ แสนแปด คอนโดหนึ่งห้อง ไม่มีอะไรเลย น้ำไฟก็ตัดไปแล้ว ถ้ามีคนซื้อ ก็คงต้องบอกเค้าปูเสื่อ จุดเทียนนอนไปก่อนละกัน.........

ถึงคราวที่ต้องรับความจริงกันบ้างแล้วครับ.........................

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ช่วงชีวิตใครลิขิตเหมือนละคร

ความลงตัวของชีวิตเกิดขึ้นได้ย่อมประกอบด้วยหลายๆปัจจัย หากเกิดความไม่สมดุลย์ขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ราบรื่น ไม่ว่าจะขาดหรือเกิน แต่หากทำใจยอมรับได้ก็สามารถมีความสุขกับมันได้ เพราะโลกนี้คงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ต้องค้นหาแสวงหากันไป ตามแต่ใจร่ำร้องโหยหา บางทีถึงกับต้องหมดลมหายใจจึงจะได้หยุดพักหัวใจดิ้นรนไขว่คว้า ในยามมีชีวิตอยู่ คุ้มค่าแล้วหรือกับหนึ่งช่วงชีวิต เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการที่เกินพอดี อะไรคือความพอดี พอเพียง ไม่มากล้น ไม่สะสม ไม่ยึดติด หรือเป็นเพียงหนึ่งวิถีที่พึงเป็นตามทางแนวความคิด แล้วแต่ว่าใครจะคิดอย่างไร คิดแบบไหน คิดไกลๆ หรือคิดสั้นๆ ใครจะอยู่ที่สูง ใครจะอยู่ที่ต่ำหรือเป็นเรื่องของกรรม ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ พูดง่าย แต่ปฏิบัติยาก...

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

22พ.ค.53 18.00 พบเพื่อนๆ ณ เพ้งหมูกระทะ

เช้ามืดวันที่ 22 พ.ค. 53 ผมล็อคอินเข้าเฟสบุ๊คตามปกติ(เวลาลูกหลับ)อัพเดทสถานะ โต้ตอบข้อความจากเพื่อนๆ ก็เหลือบไปเห็นข้อความหนึ่งจากเพื่อนคนหนึ่งคุยกับเพื่อนอีกคน ว่าจะกลับมาเยี่ยมบ้าน และนัดเจอพบปะกัน ก็นึกในใจว่า อืมม..เหตุการณ์แบบนี้ จะดีเหรอ เพราะยังอยู่ในช่วงประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงไม่ได้คอมเม้นต์อะไรต่อท้าย ใจนึงก็คิดว่า เค้าคงแซวกันเล่นๆขำๆกันปกติ และก็ล็อคเอาท์เพราะจะได้เวลาลูกตื่นและต้องออกไปทำอาหารเช้า

เวลาประมาณ 17.20 ท่านขาว(เพื่อน)ได้โทรมาบอกว่าจะมีมีตติ้งงเล็กๆ ตอน 18.00 มีเพื่อนๆหลายคนมา ผมก็..อ่า..จริงเหรอนึกว่าพูดกันเล่นๆ .. แล้วร้านเค้าเปิดถึงกี่โมงท่าน ช่วงนี้บางร้านเค้า 6โมงเย็นก็ปิดแล้วนะ(ผม)..เห็นเหมียวบอกว่าโทรไปเช็คแล้วอยู่ได้ถึงสองทุ่มค่อยแยกย้าย(ขาว) อืมมม..โอเคท่านแล้วเจอกัน(ผม).. ตอนนี้รู้สึก ดีใจ ตื่นเต้นที่จะได้พบเพื่อนๆเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่ก็กังวลเรื่องสถาณการณ์บ้านเมืองและเวลาที่กระชั้นชิด แต่ก็เอาว่ะ บอกแฟนให้เตรียมตัว รีบอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็เปิดบ้าน เข็นรถมอร์ไซด์เก่าๆออกมา เอะ..ทำไมวันนี้ล้อมันหน่วงๆฝืดๆ มองไปที่ล้อ อ้าวเฮ่ย....ยางแบน แฟนทำหน้าเซ็ง ก็เลยเข็นไปปะยางข้างๆบ้าน ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงขณะช่างผู้ชำนาญการปะ ลูกก็ร้องงอแงอยากไปไวๆ(ลูกผม ถ้าบอกว่าจะพาไปที่นั่นที่นี่แล้วต้องพาไป ห้ามช้า ไม่งั้นเค้าจะร้องงอแง) ในที่สุด การปะยางก็ประสบผลสำเร็จใสราคา 20.-(เอ๊ะ เเพงไปป่ะ อ่ะน่า อย่าคิดมาก) จากนั้นก็รีบึ่งไปจุดนัดหมาย นั่นก็คือ ร้านเพ้งหมูกะทะ คนเยอะมากกก(แขก,ลูกค้าในร้าน) และก็เหลือบไปเห็น เหมียว ขาว ก่อน อ่ะฮ้า..ไม่เจอกันซะนาน แนะนำลูกหลาน ยกมือไหว้กันอุตลุต โอ้..เพื่อนๆเรา เห็นแต่ในเฟสบุ๊ค ได้เจอตัวเป็นๆก็คราวนี้ ขาว เหมียว น้องปัน นุดราน้องข้าวฟ่าง น้อง(ลูกชายจำชื่อไม่ได้ครับ:P )และก็หลานชาย ทัดนี พ่อน้องมีน ช่อลดา อ้าวนั่นนายกิ๊ก เอกนันท์ก็มา เห็นบอกว่า เดี๋ยวท่านเผ่าจะมาสมทบ ส่วนปลัดวอร์ติดภารกิจมาไม่ได้ วันนี้ผมเตรียมกล้องมาด้วยหวังจะยิงภาพมาฝากเพื่อนๆที่ไม่ได้มา ให้อิจฉาเล่น แต่เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิด และก็อยากจะคุยกะเพื่อนๆมากกว่าเพราะไม่ได้เจอกันนานมากกกก จึงได้ถ่ายรูปมาเพียงไม่กี่ภาพ เวลาผ่านไปนานหลายๆคนรวมทั้งผมก็มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่ที่ยังไม่เปลี่ยน ก็คือรอยยิ้มของแต่ละคนที่แสดงให้เห็นความสุขที่ได้มาพบ มากิน(อาหาร)กันอีกครั้ง และพวกเราก็ต้องได้เจอกันอีกครั้งอย่างแน่นอนเพื่อน...

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เท่าที่จำความได้..

ธรรมชาติได้สร้างสมดุลให้กับชีวิตผม ด้วยการให้เวลาว่างกับผมอย่างมากมาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะอยู่ว่างๆได้ตลอดแต่ผมหมายถึงว่างจากการงานที่ต้องทำประจำ งานที่ต้องกินเงินเดือน งานที่จะต้องมีเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาสั่งการ งานที่ต้องมีผู้ร่วมงาน ที่ไม่สามารถเดาได้ว่าวันไหนเค้าจะอารมณ์แบบไหน วันไหนเค้าชอบเรา(เพราะทำถูกใจเค้า) วันไหนเค้าจะเกลียดเรา(ด้วยเหตุผลต่างๆ) ธรรมชาติได้ให้เวลาผมมาแบ่งสรรเอาเองว่าจะใช้ทำอะไร แต่ก็ต้องเสี่ยงกับความไม่มั่นคงในด้านต่างๆ การเงิน ความรัก สุขภาพ ปากท้อง เพราะถ้าผมทำตัวไม่ดี ผู้ที่เคยให้อุปการะคุณก็คงจะตัดงบช่วยเหลือ ในที่สุดก็อดตาย อย่างที่ใครหลายคนทำนายทายทักไว้ เวลาว่างๆหลังจากทำงานบ้าน งานจุกจิก หลายครั้งที่ผมนึกทบทวนถึงวันเวลาเก่าๆ ในยามเด็ก วัยรุ่นเหตุการณ์ การดำเนินชีวิต การดำรงค์ตน ทำให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ได้ดำเนินผ่านมา ผมจำได้ว่า ผมเกิดเป็นลูกคนเล็กสุด ค่อนข้างติดแม่ รักแม่และผูกพันกับท่าน เพราะเห็นท่านทำงานขายของเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำเราตั้งแต่เด็ก กับพ่อยังไม่สนิทเท่าไหร่ เพราะพ่อทำงานราชการ เจอกันตอนเช้าแว๊บนึง ตกเย็นบางวันท่านนำงานมาทำต่อที่บ้าน ก็จะทำให้ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับท่านได้เพราะจะโดนดุ แต่เวลาว่างท่านก็พยายามที่จะพาผมไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ แต่ผมก็ไปงงๆ ท่านเองก็ไม่ได้แนะนำอะไร ผมเองก็ไม่มีไหวพริบอะไร เป็นคนแบบซื่อบื้อ เซ่อซ่า เสร่อ ไม่มีแผนการณ์ พาไปก็คือไป ไม่ได้ขัดขืนขัดใจว่า..เฮ้ นี่ฉันไม่ไปนะ ฉันไม่อยากไป จะไปทำไม อาจเป็นเพราะเชื่อแม่ แม่เคยสอนว่า อย่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งผมก็จำคำนี้มาตลอด และปฎิบัติเสมอมาด้วยความพยายาม แต่เฝ้าดูผู้คนรอบข้างก็ต่างทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านเวลานานวันเหมือนมีความคิดสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบอกให้พยายามทำความดี แม้จะเห็นผลหรือไม่เห็นผลก็ตาม อีกฝั่งก็จะบอกให้ทำตามความต้องการ เพราะเราแน่ใจหรือว่าเราจะมาเกิดใหม่อีกรอบเพื่อที่จะกลับมารับผลที่ดี มันช่างตัดสินใจอย่างยากเย็นในเมื่อรอบด้านเหมือนมีของแหลมคมทิ่มแทงอยู่เสมอน้อยคนนักที่จะเอามือปัดป้องอย่างเดียว และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องตอบโต้ออกไปบ้างตามวิสัยของมนุษย์ แต่กลับเป็นผลเสีย เหมือนยิ่งส่งเชื้อไฟ ไฟก็ยิ่งจะปะทุมอดไหม้เผาผลาญทำลายล้าง ผมเองเคยคิดว่า เราน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ด้วยจิตใจที่ตกต่ำ อ่อนล้าอ่อนแรงอ่อนกำลังใจ ทำให้ต้องก้าวออกมาจากสงครามสังคมคนหมู่มาก ปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆเพียงลำพัง อยู่กับตัวเอง อยู่กับความคิด ทบทวนเรื่องราวความผิดพลาด เราเคยเรียนรู้มาว่า ทำผิดต้องยอมรับผิด แต่จะหาใครสักกี่คนที่จะบอกว่าตัวเองกผิด แม้จะรู้อยู่แก่ใจ เมื่อเขาไม่บอกว่าตัวเองผิด เราเองหรือที่ผิด หรือไม่มีใครผิด หรือเป็นเรื่องของกรรมเก่า ต้องก้มหน้าชดใช้ให้หมดสิ้น ภายภาคหน้าจะได้หลุดจากสังสารวัฐ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่ก็จริงอย่างที่มีใครกล่าวไว้ว่า เมื่อเราก้าวผ่านมันมาแล้วมองย้อนกลับไปด้วยสติ นั่นก็เป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่เราได้ผ่านมันมาได้ สิ่งใดที่ทำร้ายจิตใจก็ไม่ควรเก็บมาทิ่มแทงตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ควรจะปล่อยให้หายไปกับกาลเวลาที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้ ทำได้เพียงวันนี้ วินาทีนี้ ให้ผิดพลาดน้อยที่สุดและยอมรับมันไม่ว่าจะดีหรือร้าย จนกว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงอย่างสงบ...

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่อยเปื่อย

หากชีวิตคนเรามีเพียง เกิดขึ้นมา อยู่ๆกันไป แล้วก็ตาย เราก็คงต้องมาตั้งคำถามกันขึ้นว่า เกิดมาทำไม ผมคิดว่าด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการค้นหา ค้นคว้า ไปจนกระทั่งแตกแขนงออกเป็นเรื่องต่างๆ เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วจะอยู่อย่างไร ก่อนหน้าที่เราจะเกิด ก็มีคนรุ่นก่อน เราก็ต้องศึกษาเรื่องราวความเป็นอยู่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในวันนี้ ก็ล้วนพัฒนามาจากเก่าก่อน เราเกิดขึ้นมา พบกับผู้คนที่เหมือนๆกับเรา เราต้องการการสื่อสาร จึงเกิดภาษาขึ้นเกิดการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน การปฎิบัติต่อกัน การเอื้ออาทร มีความเชื่อ มีศรัทธา และมีความฝัน และธรรมชาติก็เป็นผู้สร้างสมดุล สร้างให้ของทุกอย่างมี 2 ฝั่ง มีคุณ มีโทษ มีร้อน มีหนาว ฯลฯ ทำให้ผมนึกเชื่อมโยงไปเรื่องของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ธรรมะ หรือธรรมชาติ เป็นผู้สร้างสมดุล ถ้าเราชกกระจก กระจกก็จะแตก แต่มือเราก็เจ็บด้วยเช่นกัน หรือเราอุ้มลูก ลูกก็จะได้รับความรู้สึกสัมผัส เราก็จะได้รับเช่นกัน บางคนอาจจะบอกว่า ก็ยังเห็นคนทำไม่ดีบางทีก็ยังได้ดีถมเถ หรือคนที่ทำดีแล้วก็ยังไม่ได้ดีสักที ผมเชื่อว่าผลต่างๆจะเกิดขึ้นก็ย่อมต้องใช้เวลาเสมอ เหมือนพลุก่อนที่จะปะทุสว่างสวยงามก็ต้องมีเวลาในการจุด แล้วก็พุ่งขึ้นไป เพียงแต่ระยะพุ่งของใครจะยาวกว่ากัน และแต่ละคนก็ต่างมีสิ่งที่ทำอยู่ตลอด ธรรมชาติก็จะมีการประมวลผลอยู่ตลอดเช่นกัน แต่การดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ล้วนแล้วอยู่ที่ใจ พูดฟังแล้วดูง่าย แต่ทำจริงๆแล้วไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ก็ถือว่าชนะใจตนเอง