lozocatlozocat
"It's my life "
lozocatlozocat

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เท่าที่จำความได้..

ธรรมชาติได้สร้างสมดุลให้กับชีวิตผม ด้วยการให้เวลาว่างกับผมอย่างมากมาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะอยู่ว่างๆได้ตลอดแต่ผมหมายถึงว่างจากการงานที่ต้องทำประจำ งานที่ต้องกินเงินเดือน งานที่จะต้องมีเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาสั่งการ งานที่ต้องมีผู้ร่วมงาน ที่ไม่สามารถเดาได้ว่าวันไหนเค้าจะอารมณ์แบบไหน วันไหนเค้าชอบเรา(เพราะทำถูกใจเค้า) วันไหนเค้าจะเกลียดเรา(ด้วยเหตุผลต่างๆ) ธรรมชาติได้ให้เวลาผมมาแบ่งสรรเอาเองว่าจะใช้ทำอะไร แต่ก็ต้องเสี่ยงกับความไม่มั่นคงในด้านต่างๆ การเงิน ความรัก สุขภาพ ปากท้อง เพราะถ้าผมทำตัวไม่ดี ผู้ที่เคยให้อุปการะคุณก็คงจะตัดงบช่วยเหลือ ในที่สุดก็อดตาย อย่างที่ใครหลายคนทำนายทายทักไว้ เวลาว่างๆหลังจากทำงานบ้าน งานจุกจิก หลายครั้งที่ผมนึกทบทวนถึงวันเวลาเก่าๆ ในยามเด็ก วัยรุ่นเหตุการณ์ การดำเนินชีวิต การดำรงค์ตน ทำให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ได้ดำเนินผ่านมา ผมจำได้ว่า ผมเกิดเป็นลูกคนเล็กสุด ค่อนข้างติดแม่ รักแม่และผูกพันกับท่าน เพราะเห็นท่านทำงานขายของเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำเราตั้งแต่เด็ก กับพ่อยังไม่สนิทเท่าไหร่ เพราะพ่อทำงานราชการ เจอกันตอนเช้าแว๊บนึง ตกเย็นบางวันท่านนำงานมาทำต่อที่บ้าน ก็จะทำให้ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับท่านได้เพราะจะโดนดุ แต่เวลาว่างท่านก็พยายามที่จะพาผมไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ แต่ผมก็ไปงงๆ ท่านเองก็ไม่ได้แนะนำอะไร ผมเองก็ไม่มีไหวพริบอะไร เป็นคนแบบซื่อบื้อ เซ่อซ่า เสร่อ ไม่มีแผนการณ์ พาไปก็คือไป ไม่ได้ขัดขืนขัดใจว่า..เฮ้ นี่ฉันไม่ไปนะ ฉันไม่อยากไป จะไปทำไม อาจเป็นเพราะเชื่อแม่ แม่เคยสอนว่า อย่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งผมก็จำคำนี้มาตลอด และปฎิบัติเสมอมาด้วยความพยายาม แต่เฝ้าดูผู้คนรอบข้างก็ต่างทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านเวลานานวันเหมือนมีความคิดสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบอกให้พยายามทำความดี แม้จะเห็นผลหรือไม่เห็นผลก็ตาม อีกฝั่งก็จะบอกให้ทำตามความต้องการ เพราะเราแน่ใจหรือว่าเราจะมาเกิดใหม่อีกรอบเพื่อที่จะกลับมารับผลที่ดี มันช่างตัดสินใจอย่างยากเย็นในเมื่อรอบด้านเหมือนมีของแหลมคมทิ่มแทงอยู่เสมอน้อยคนนักที่จะเอามือปัดป้องอย่างเดียว และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องตอบโต้ออกไปบ้างตามวิสัยของมนุษย์ แต่กลับเป็นผลเสีย เหมือนยิ่งส่งเชื้อไฟ ไฟก็ยิ่งจะปะทุมอดไหม้เผาผลาญทำลายล้าง ผมเองเคยคิดว่า เราน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ด้วยจิตใจที่ตกต่ำ อ่อนล้าอ่อนแรงอ่อนกำลังใจ ทำให้ต้องก้าวออกมาจากสงครามสังคมคนหมู่มาก ปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆเพียงลำพัง อยู่กับตัวเอง อยู่กับความคิด ทบทวนเรื่องราวความผิดพลาด เราเคยเรียนรู้มาว่า ทำผิดต้องยอมรับผิด แต่จะหาใครสักกี่คนที่จะบอกว่าตัวเองกผิด แม้จะรู้อยู่แก่ใจ เมื่อเขาไม่บอกว่าตัวเองผิด เราเองหรือที่ผิด หรือไม่มีใครผิด หรือเป็นเรื่องของกรรมเก่า ต้องก้มหน้าชดใช้ให้หมดสิ้น ภายภาคหน้าจะได้หลุดจากสังสารวัฐ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่ก็จริงอย่างที่มีใครกล่าวไว้ว่า เมื่อเราก้าวผ่านมันมาแล้วมองย้อนกลับไปด้วยสติ นั่นก็เป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่เราได้ผ่านมันมาได้ สิ่งใดที่ทำร้ายจิตใจก็ไม่ควรเก็บมาทิ่มแทงตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ควรจะปล่อยให้หายไปกับกาลเวลาที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้ ทำได้เพียงวันนี้ วินาทีนี้ ให้ผิดพลาดน้อยที่สุดและยอมรับมันไม่ว่าจะดีหรือร้าย จนกว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงอย่างสงบ...